ทุกๆท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วใช่ไหมคะว่า.. ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดเครื่องมือดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมายที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนการทำงานของเภสัชกร ทั้งในด้านการบริการผู้ป่วย การบริหารจัดการยา ไปจนถึงงานวิจัยและการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคลค่ะ
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมและนำเสนอ 5 เทคโนโลยีสำคัญที่เภสัชกรยุคใหม่ควรรู้และไม่ควรมองข้าม โดยอธิบายว่าทั้งห้าเทคโนโลยีนี้คืออะไร ทำงานอย่างไร มีประโยชน์และความท้าทายอย่างไรต่อการปฏิบัติงานของเภสัชกรไทยค่ะ
ผู้เขียนหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่านในหลายๆด้านค่ะ เช่น การเสริมสร้างความเข้าใจให้กับบุคลากรทางสุขภาพในการประยุกต์ใช้และรับมือกับเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในบริบทของวิชาชีพ
เรามาดูภาพรวมหลักของ 5 เทคโนโลยีที่มีบทบาทในวิชาชีพเภสัชกรรมกันนะคะ
เทคโนโลยี | ประโยชน์หลัก | ความท้าทาย |
e-Prescription | ลดข้อผิดพลาด, เพิ่มความปลอดภัย, ประหยัดเวลา | การฝึกอบรม, ลงทุนในระบบ |
Drug Dispensing Robots | ความแม่นยำ, ลดข้อผิดพลาด, เพิ่มประสิทธิภาพ | ต้นทุนสูง, การบำรุงรักษา |
Blockchain | ป้องกันยาปลอม, ความโปร่งใส | ความซับซ้อน, การยอมรับ |
Telepharmacy | เข้าถึงยาและคำปรึกษา, ลดภาระโรงพยาบาล | ความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัยข้อมูล |
AI & Data Analytics | เร่งค้นพบยา, การรักษาเฉพาะบุคคล | ข้อมูลจำกัด, จริยธรรม |
1. ใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Prescription หรือ e-Prescription)
ใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ คือ ระบบการสั่งยาในรูปแบบดิจิทัล แทนการใช้ใบสั่งยากระดาษแบบเดิม แพทย์สามารถส่งใบสั่งยาให้เภสัชกรผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันได้โดยตรง เมื่อผู้ป่วยไปรับยาที่ร้านยาหรือโรงพยาบาล เภสัชกรสามารถดึงข้อมูลใบสั่งยาจากระบบมาเตรียมยาได้ทันที ลดขั้นตอนการจัดการเอกสารและความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการอ่านลายมือผิดพลาด ในหลายประเทศ ระบบ e-prescribing ถูกนำมาใช้แพร่หลายและบังคับใช้ทางกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีรายงานว่า กว่า 94% ของใบสั่งยาทั้งหมดในสหรัฐฯ ถูกสั่งจ่ายในรูปอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2021 สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่มุ่งสู่การใช้ใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น
ประโยชน์ของ e-Prescription
- เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย: ข้อมูลใบสั่งยาเป็นแบบพิมพ์ที่อ่านง่าย ลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการตีความลายมือผิดพลาด
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเภสัชกร: ช่วยลดงานเอกสารที่ยุ่งยาก เภสัชกรสามารถจัดยาตามใบสั่งได้รวดเร็วขึ้นและใช้เวลาที่ประหยัดได้ไปให้บริการผู้ป่วยด้านอื่น
- ส่งเสริมบทบาทวิชาชีพ: เภสัชกรจำนวนมากมองระบบนี้ในเชิงบวก เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงาน เพิ่มความปลอดภัยผู้ป่วย ลดภาระงานเอกสาร และส่งเสริมบทบาทวิชาชีพของตนเอง
- แก้ปัญหาใบสั่งยาปลอม: ระบบดิจิทัลตรวจสอบยืนยันตัวตนแพทย์ผู้สั่งยาได้ยากต่อการปลอมแปลง ช่วยลดใบสั่งยาปลอมที่เกิดขึ้นได้
ความท้าทายในการนำ e-Prescription มาใช้
- ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วย: การสื่อสารข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จำเป็นต้องมั่นใจว่าปลอดภัยจากการถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างระบบ (interoperability): หากโรงพยาบาลหรือร้านยาต่างแห่งใช้ซอฟต์แวร์คนละชุดที่ไม่สามารถเชื่อมกันได้ จะเกิดความยุ่งยากในการรับส่งใบสั่งยา ทำให้ใบสั่งยาถูกส่งผิดสถานที่หรือผู้ป่วยต้องรอนานกว่าปกติ
- ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ: ระบบ e-prescribing มีต้นทุนสูงทั้งในการจัดหาอุปกรณ์และดูแลรักษา
การนำ e-Prescription มาใช้ในประเทศไทย
- ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีและการฝึกอบรมบุคลากร: การนำใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมทั้งสองด้านนี้
- ลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพ: หากดำเนินการได้สำเร็จ จะช่วยลดความผิดพลาดในการสั่งจ่ายยาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพได้อย่างมาก
2. หุ่นยนต์จัดยาอัตโนมัติ (Drug Dispensing Robots)
หุ่นยนต์จัดยาอัตโนมัติ คือ ระบบเครื่องจักรกลที่นำมาใช้ในงานจ่ายยาและจัดเตรียมยาภายในร้านยาและโรงพยาบาล โดยหุ่นยนต์เหล่านี้สามารถค้นหาและหยิบยาแทนบุคลากรได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตามคำสั่งที่ได้รับจากระบบคอมพิวเตอร์ การทำงานของหุ่นยนต์จ่ายยา มักประกอบด้วยกลไกแขนกลหรือสายพานอัตโนมัติที่สามารถเลือกหยิบยาจากชั้นเก็บได้โดยอัตโนมัติ ตามรายการยาที่มีการสั่งจ่ายเข้ามาในระบบ จากนั้นหุ่นยนต์จะบรรจุยาลงซองหรือภาชนะตามขนาดที่กำหนด พร้อมพิมพ์ฉลากยาให้เสร็จ เภสัชกรจึงทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องขั้นสุดท้ายและให้คำแนะนำผู้ป่วยต่อไป เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการจ่ายยาสูง และร้านยาชุมชนบางแห่งที่ต้องการความแม่นยำและรวดเร็วในการบริการ
ประโยชน์ของการใช้หุ่นยนต์จัดยา
- ลดข้อผิดพลาดในการจ่ายยา: มีหลักฐานว่าการใช้หุ่นยนต์จัดยาช่วยลดข้อผิดพลาดในการจ่ายยาได้อย่างมีนัยสำคัญ
- เพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรเภสัชกรรม
- จัดการสต็อกและสินค้าคงคลัง: ระบบหุ่นยนต์ช่วยจัดการสต็อกยาและสินค้าคงคลังได้อย่างเป็นระบบ ลดปัญหายาขาดหรือยาสูญเปล่า
- เพิ่มความคล่องตัวของขั้นตอนการทำงาน: ส่งเสริมความคล่องตัวของขั้นตอนการทำงาน ทำให้เภสัชกรและผู้ช่วยสามารถทุ่มเทเวลาไปกับการให้บริการทางคลินิกแก่ผู้ป่วยมากขึ้น
- ลดความผิดพลาดจากมนุษย์: ระบบอัตโนมัติช่วยลดความผิดพลาดจากมนุษย์และปรับปรุงลำดับงานให้ง่ายขึ้น
- ผู้ป่วยได้รับประโยชน์: ผู้ป่วยมีเวลารอรับยาสั้นลง ได้รับยาถูกต้องรวดเร็วขึ้น และเภสัชกรมีเวลาให้คำปรึกษาเชิงลึกมากขึ้น
- เพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน: ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซากสำหรับบุคลากร ส่งผลให้ความพึงพอใจในการทำงานของทีมเภสัชกรรมดีขึ้น
ความท้าทายในการนำหุ่นยนต์จัดยามาใช้
- ต้นทุนการลงทุนสูง: ทั้งค่าซื้อเครื่องหุ่นยนต์และค่าบำรุงรักษา เป็นอุปสรรคสำคัญโดยเฉพาะกับโรงพยาบาลขนาดเล็กหรือร้านยาชุมชน
- การบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค: จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล หากระบบขัดข้องหรือหยุดทำงานกะทันหันอาจส่งผลกระทบต่อการจ่ายยาได้ทันที
- การฝึกอบรมบุคลากร: การฝึกอบรมบุคลากรให้ใช้งานระบบอย่างถูกต้องมีความสำคัญ
- การจัดวางขั้นตอนการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์: ต้องได้รับการออกแบบอย่างดี เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนหรือความสับสนระหว่างเจ้าหน้าที่กับเครื่องจักร
- การวางแผนระยะยาวในประเทศไทย: แม้โรงพยาบาลขนาดใหญ่บางแห่งในประเทศไทยเริ่มใช้หุ่นยนต์จัดยาเพื่อแก้ปัญหาผู้ป่วยรอยานานและลดความแออัด แต่ควรมีการวางแผนระยะยาวเรื่องงบประมาณและบุคลากรรองรับอย่างเหมาะสม
3. บล็อกเชนเพื่อความปลอดภัยด้านยาและระบบติดตามเวชภัณฑ์ (Blockchain in Pharmaceutical Supply Chain)
บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่มีความปลอดภัยสูง ข้อมูลถูกเก็บเป็นห่วงโซ่ของบล็อกที่แต่ละบล็อกมีรหัสเฉพาะเชื่อมโยงต่อกันอย่างแน่นหนา การจะแก้ไขข้อมูลย้อนหลังแทบเป็นไปไม่ได้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คุณสมบัตินี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการยาเพื่อ ติดตามเส้นทางการกระจายยาตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงมือผู้ป่วยอย่างโปร่งใสและป้องกันการปลอมแปลง ในระบบเวชภัณฑ์ที่ใช้บล็อกเชน ยาทุกกล่องหรือทุกรุ่นการผลิตจะมี “รหัสประจำตัวดิจิทัล” ที่ไม่ซ้ำกัน เมื่อมีการเคลื่อนย้ายยาแต่ละครั้ง (เช่น จากผู้ผลิตไปยังผู้จัดจำหน่าย หรือจากร้านยาไปยังผู้ป่วย) การทำธุรกรรมนั้นจะถูกบันทึกลงในบล็อกเชน กลายเป็นห่วงโซ่ข้อมูลที่ตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกขั้นตอน หากมีผู้พยายามแก้ไขหรือสอดแทรกยาปลอมเข้ามา ระบบจะตรวจพบความผิดปกติทันทีเพราะรหัสของบล็อกไม่สอดคล้องกัน
ประโยชน์ของบล็อกเชนในระบบกระจายยา
- แก้ปัญหายาปลอมและเพิ่มความโปร่งใส: เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพสูงในการแก้ปัญหายาปลอมและเพิ่มความโปร่งใสในระบบกระจายยา
- ยกระดับคุณภาพและความปลอดภัย: องค์การเภสัชกรรมระหว่างประเทศ (FIP) เน้นย้ำว่าการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบห่วงโซ่อุปทานยาจะช่วยยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของยา ป้องกันยาปลอม และทำให้การส่งมอบยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้
- ตรวจสอบความถูกต้องของยาแบบคลอบคลุมทุกขั้นตอน: การใช้บล็อกเชนในซัพพลายเชนยาช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของยาทุกชิ้นได้แบบครบวงจร ทำให้ผู้เกี่ยวข้องมองเห็นข้อมูลการเดินทางของยาตลอดสายการผลิตและจัดส่ง
- ลดโอกาสยาปลอมเข้าสู่ระบบ: เทคโนโลยีนี้ลดโอกาสที่ยาปลอมจะเล็ดลอดเข้าสู่ระบบผู้ป่วย และช่วยยืนยันความเป็นของแท้ของผลิตภัณฑ์ยา ลดการทุจริตปลอมแปลง และเสริมความปลอดภัยให้ผู้ป่วย
- เพิ่มความเชื่อมั่นในระบบยา: บล็อกเชนมีความโปร่งใสและความปลอดภัยสูงโดยธรรมชาติ เมื่อผู้ป่วยหรือบุคลากรสามารถเข้าถึงข้อมูลแหล่งที่มาของยาได้อย่างโปร่งใสไม่ถูกบิดเบือน ความเชื่อมั่นในระบบยาจะเพิ่มขึ้น
ประโยชน์สำหรับประเทศไทย
- ติดตามเวชภัณฑ์จากโรงงานถึงผู้ป่วย: การนำบล็อกเชนมาช่วยติดตามเวชภัณฑ์ตั้งแต่โรงงานถึงผู้ป่วย จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแล (เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) สามารถตรวจสอบความถูกต้องของยาได้ตลอดเส้นทาง
- ลดโอกาสยาปลอมเข้าสู่ตลาด: ช่วยลดโอกาสที่ยาปลอมจะเข้าสู่ตลาด และเพิ่มความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่าจะได้รับยาที่มีคุณภาพ
- ความจำเป็นในการศึกษาและวางระบบนำร่อง: จำเป็นต้องมีการศึกษาและวางระบบนำร่องในประเทศไทยต่อไป
ความท้าทายในการนำบล็อกเชนมาใช้ในระบบสุขภาพ
- ความเข้าใจในเทคโนโลยีและความพร้อมของบุคลากร: บุคลากรที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องได้รับการอบรมเพื่อใช้งานและดูแลระบบได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากบล็อกเชนเป็นเรื่องใหม่ที่ค่อนข้างซับซ้อน
- การทำงานร่วมกันของระบบ (interoperability): ทุกภาคส่วนในซัพพลายเชนจำเป็นต้องยอมรับมาตรฐานร่วมกัน เพื่อให้ข้อมูลเชื่อมถึงกันตลอดสาย
- กรอบกฎหมายและนโยบาย: ภาครัฐจำเป็นต้องออกกฎหมายหรือแนวทางรองรับการใช้บล็อกเชนในการจัดการเวชภัณฑ์ ทั้งด้านความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความรับผิดชอบเมื่อเกิดความผิดพลาด
- ต้นทุนการนำไปใช้: ต้นทุนการนำบล็อกเชนไปใช้ค่อนข้างสูง อาจเป็นอุปสรรคให้หลายองค์กรชะลอการลงทุน แต่แนวโน้มต้นทุนเทคโนโลยีที่ลดลงและประโยชน์ระยะยาวอาจช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า
ประโยชน์สำหรับประเทศไทย
- ติดตามเวชภัณฑ์จากโรงงานถึงผู้ป่วย: การนำบล็อกเชนมาช่วยติดตามเวชภัณฑ์ตั้งแต่โรงงานถึงผู้ป่วย จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแล (เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) สามารถตรวจสอบความถูกต้องของยาได้ตลอดเส้นทาง
- ลดโอกาสยาปลอมเข้าสู่ตลาด: ช่วยลดโอกาสที่ยาปลอมจะเข้าสู่ตลาด และเพิ่มความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่าจะได้รับยาที่มีคุณภาพ
- ความจำเป็นในการศึกษาและวางระบบนำร่อง: จำเป็นต้องมีการศึกษาและวางระบบนำร่องในประเทศไทยต่อไป
4. ระบบเภสัชกรรมทางไกลและร้านยาออนไลน์ (Telepharmacy & Online Pharmacy)
เภสัชกรรมทางไกล (Telepharmacy) คือ การให้บริการเภสัชกรรมผ่านช่องทางการสื่อสารระยะไกล เช่น การให้คำปรึกษาทางยาแก่ผู้ป่วยผ่านวิดีโอคอลหรือโทรศัพท์, การตรวจสอบความถูกต้องของใบสั่งยาจากระยะไกล, หรือการติดตามอาการผู้ป่วยผ่านแอปพลิเคชัน โดยที่เภสัชกรและผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องพบกันต่อหน้า ส่วน ร้านยาออนไลน์ คือ การจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ป่วยสามารถสั่งซื้อยาออนไลน์และรับบริการจัดส่งถึงบ้าน รวมถึงได้รับคำแนะนำการใช้ยาผ่านช่องทางดิจิทัล เทคโนโลยีทั้งสองส่วนนี้มีความเชื่อมโยงกันตรงที่มุ่งเน้นการเพิ่มความสะดวกและการเข้าถึงบริการทางเภสัชกรรมของประชาชน โดยเฉพาะในยุคที่อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต
ประโยชน์ของระบบเภสัชกรรมทางไกล (Telepharmacy)
- เพิ่มการเข้าถึงบริการ: ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการทางเภสัชกรรมได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 และสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล
- ลดค่าใช้จ่าย: ลดค่าใช้จ่ายทั้งสำหรับผู้ป่วยและระบบสุขภาพ
- เพิ่มความพึงพอใจและความสะดวกสบาย: ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบายในการรับบริการและมีความพึงพอใจสูงขึ้น
- นำไปสู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้น: ส่งผลให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพโดยรวมดีขึ้น
- เพิ่มโอกาสสำหรับเภสัชกร: เปิดโอกาสให้เภสัชกรสามารถติดตามดูแลผู้ป่วยเชิงรุกได้ดีขึ้น เช่น โทรสอบถามการใช้ยา หรือให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องเป็นรายบุคคล
- ประโยชน์สำหรับประเทศไทย: เพิ่มการเข้าถึงบริการยาให้กับประชาชนในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ที่ขาดแคลนเภสัชกร และเพิ่มทางเลือกและความสะดวกสำหรับผู้ป่วยไทย โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
ความท้าทายของระบบเภสัชกรรมทางไกล
- คุณภาพบริการและความปลอดภัยของผู้ป่วย:
- ความเข้าใจระหว่างเภสัชกรกับผู้ป่วยอาจลดลงเมื่อไม่มีการพบปะโดยตรง
- การสื่อสารออนไลน์ต้องชัดเจน และต้องตรวจสอบได้ว่าผู้ป่วยเข้าใจคำแนะนำถูกต้อง
- ควรมีกลไกยืนยันตัวตนผู้ป่วยและรักษาความลับของข้อมูลสุขภาพเมื่อสื่อสารออนไลน์
- ภัยคุกคามจากร้านยาออนไลน์ที่ไม่ได้มาตรฐาน:
- มีร้านค้าที่ขายยาที่ไม่ได้รับอนุญาต ยาปลอม หรือยาที่ไม่ผ่านการควบคุมบนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต
- ภาครัฐต้องเข้มงวดในการกำกับดูแลและให้ใบอนุญาตเฉพาะร้านขายยาออนไลน์ที่มีเภสัชกรรับผิดชอบและปฏิบัติตามมาตรฐาน
- ผลกระทบต่อร้านยาแบบดั้งเดิม:
- ความสะดวกของออนไลน์ฟาร์มาซีอาจดึงลูกค้าไปใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น
- เป็นโอกาสให้ร้านยาแบบดั้งเดิมขยายการบริการสู่ช่องทางใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคดิจิทัล
- สำหรับพื้นที่ชนบท Telepharmacy เป็นโอกาสในการแก้ปัญหาการขาดแคลนบริการสุขภาพ
- สิ่งสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการให้บริการออนไลน์กับการรักษาคุณภาพการดูแลแบบตัวต่อตัว
- เภสัชกรไทยควรเตรียมพร้อมทั้งทักษะการสื่อสารออนไลน์และการใช้เครื่องมือดิจิทัล
5. ปัญญาประดิษฐ์และการวิเคราะห์ข้อมูล (AI & Data Analytics)
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) กำลังเข้ามามีบทบาทในงานเภสัชกรรมอย่างหลากหลาย ตั้งแต่งานบริการหน้าร้าน งานบริหารเวชภัณฑ์ ไปจนถึงการวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ AI หมายถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานหรือแก้ปัญหาบางอย่างได้คล้ายคลึงกับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ จดจำ หรือการตัดสินใจ โดยมีรูปแบบที่ใช้งานในปัจจุบัน เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อค้นหารูปแบบและทำนายผลได้อย่างชาญฉลาด, การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ที่ช่วยให้ระบบเข้าใจและสื่อสารด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้, รวมถึง การรู้จำภาพ (Image Recognition) ที่ให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ภาพทางการแพทย์หรือข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
การประยุกต์ใช้ AI ในงานเภสัชกรรม
การให้บริการเภสัชกรรมและการดูแลผู้ป่วย
- ช่วยเภสัชกรในการตัดสินใจ: AI ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเภสัชกรในการตัดสินใจด้านการรักษา เช่น ระบบแจ้งเตือนปฏิกิริยาระหว่างยา หรือช่วยตรวจสอบความถูกต้องของใบสั่งยาก่อนจ่ายยา
- ลดข้อผิดพลาดด้านยาและเพิ่มคุณภาพการรักษา: การใช้ AI ในการตรวจสอบคำสั่งใช้ยาและติดตามการรักษาช่วยลดความผิดพลาดด้านยาและเพิ่มคุณภาพการรักษาได้อย่างมีนัยสำคัญ
- เพิ่มการใช้ยาตามแพทย์สั่งและลดการลืมมารับยา: ร้านขายยาชุมชนแห่งหนึ่งที่ใช้ AI พบว่าอัตราการที่ผู้ป่วยใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเพิ่มขึ้นประมาณ 40% และจำนวนครั้งที่ผู้ป่วยลืมมารับยาลดลงประมาณ 55%
- คาดการณ์แนวโน้มไม่ใช้ยาและแจ้งเตือนเภสัชกร: ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ว่าผู้ป่วยรายใดอาจมีแนวโน้มไม่ใช้ยาตามสั่ง และแจ้งเตือนเภสัชกรให้ติดตามเป็นพิเศษ
- ลดข้อผิดพลาดในการจัดจ่ายยาและตรวจจับ ADRs: ในโรงพยาบาล AI ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดจ่ายยาได้สูงสุดถึง 75% และช่วยตรวจจับอาการไม่พึงประสงค์จากยา (Adverse Drug Reactions) ได้เร็วขึ้นถึง 65%
- คัดกรองเวชระเบียนเพื่อระบุผู้เสี่ยง ADRs: ระบบ AI บางแห่งยังช่วยคัดกรองเวชระเบียนผู้ป่วยเพื่อระบุผู้ที่อาจเสี่ยงเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา ทำให้สามารถดำเนินการป้องกันได้ทันท่วงที
การบริหารจัดการและโลจิสติกส์ยา
- บริหารคลังยาและเวชภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ: การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วย AI ช่วยให้การบริหารคลังยาและเวชภัณฑ์มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
- พยากรณ์ความต้องการใช้ยา: ระบบ AI สามารถพยากรณ์ความต้องการใช้ยาจากข้อมูลในอดีต ทำให้จัดเก็บสต๊อกยาในปริมาณที่เหมาะสม ลดปัญหาของขาดหรือของเหลือทิ้งหมดอายุ
- ลดค่าใช้จ่ายจากการเก็บสต๊อกส่วนเกิน: ในระบบสุขภาพสหราชอาณาจักร (NHS) การใช้ AI บริหารจัดการคลังยาช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการเก็บสต๊อกส่วนเกินลงและเพิ่มอัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลังได้ถึง 70%
- จัดตารางเวรบุคลากร: AI ถูกใช้ในงานจัดตารางเวรบุคลากร วิเคราะห์ปริมาณงานในแต่ละช่วงเวลาเพื่อจัดสรรกำลังคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานล้นและป้องกันความเหนื่อยล้าของเจ้าหน้าที่
งานวิจัยยาและการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalised Medicine)
- พลิกโฉมงานวิจัยและพัฒนายาใหม่: AI กำลังช่วยบริษัทด้านเภสัชกรรมในการค้นหาตัวยาโมเลกุลใหม่ ๆ ได้รวดเร็วกว่าวิธีเดิม
- การออกแบบตัวยาใหม่: บริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Atomwise และ Insilico Medicine รายงานความก้าวหน้าในการใช้ AI ออกแบบตัวยาที่มีแนวโน้มเป็นยารักษาโรคใหม่ได้เร็วกว่าวิธีเดิม
- ทำนายคุณสมบัติยาได้แม่นยำขึ้น: เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Federated Learning และ Quantum Computing ถูกพัฒนาเสริมเพื่อช่วยให้อัลกอริทึม AI สามารถทำนายคุณสมบัติยาหรือการจับกันของยา-โปรตีนได้แม่นยำขึ้นหลายเท่าตัว (คาดการณ์ว่าการพยากรณ์การจับกันของยาและเป้าหมายโปรตีนอาจดีขึ้นถึง 300% เมื่อใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งร่วมกับ AI)
- การแพทย์เฉพาะบุคคล: AI ช่วยวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของผู้ป่วย (ข้อมูลทางพันธุกรรม, ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ, ประวัติการรักษา) เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคนมากที่สุด
- เลือกยาที่ได้ผลดีที่สุดและปรับขนาดยา: มีการพัฒนาวิธีการรักษาแบบจำเพาะเจาะจงรายบุคคล เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วยมะเร็งเพื่อเลือกยาที่ได้ผลดีที่สุด หรือการปรับขนาดยาตามลักษณะการเผาผลาญยาของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งช่วยปรับปรุงผลลัพธ์การรักษาและลดอาการข้างเคียง
ความท้าทายและข้อควรระวังในการใช้ AI ในงานเภสัชกรรม
- ความผิดพลาดของ AI และการกำกับดูแลจากมนุษย์:
- AI และระบบคอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องการการกำกับดูแลจากมนุษย์
- ความผิดพลาดของอัลกอริทึมหรือคุณภาพของข้อมูลที่ป้อนเข้าไปอาจนำมาซึ่งข้อสรุปหรือคำแนะนำที่ผิดพลาด
- เภสัชกรจึงต้องมีบทบาทในการทบทวนผลลัพธ์ที่ระบบเสนอแนะและใช้วิจารณญาณวิชาชีพตัดสินขั้นสุดท้ายเสมอ
- จริยธรรมและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล:
- การวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมากต้องปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและได้รับความยินยอมอย่างเหมาะสม
- มีความกังวลว่า AI อาจมีอคติแฝงอยู่ (algorithm bias) หากข้อมูลที่ใช้ฝึกมีอคติ
- การออกแบบและตรวจสอบระบบ AI ให้โปร่งใสและเป็นธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- การพัฒนาทักษะของเภสัชกร:
- เภสัชกรยุคใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะพื้นฐานด้านข้อมูลและการใช้ระบบดิจิทัล เพื่อจะทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หากไม่มีการพัฒนาทักษะ อาจเกิดช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีกับการปฏิบัติงานจริง
บทบาทของเภสัชกรที่เป็นมนุษย์ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่ช่วยยกระดับงาน ส่วนสิ่งที่เครื่องจักรไม่สามารถทดแทนได้คือ ความเอาใจใส่ ความเห็นอกเห็นใจ และการสื่อสารเชิงมนุษย์ ที่เภสัชกรมอบให้แก่ผู้ป่วย ดังนั้น อนาคตของวิชาชีพเภสัชกรรมจะไม่ได้อยู่ที่การถูกแทนที่ด้วย AI หากแต่อยู่ที่การรู้จักใช้ AI และเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการให้บริการสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยมีเภสัชกรเป็นศูนย์กลางในการดูแลผู้ป่วยตามหลักมนุษยธรรมควบคู่ไปด้วยค่ะ
เทคโนโลยีทั้ง 5 ด้านที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์, หุ่นยนต์จัดยา, บล็อกเชน, เภสัชกรรมทางไกล หรือปัญญาประดิษฐ์ ล้วนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติงานของเภสัชกรยุคปัจจุบันและอนาคต สำหรับเภสัชกรไทย การทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมรับมือกับเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความถูกต้องในงานเท่านั้น แต่ยังเพื่อยกระดับบทบาทของเภสัชกรในการดูแลผู้ป่วยให้ครอบคลุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควรดำเนินไปควบคู่กับการรักษามาตรฐานจริยธรรมและจุดเน้นที่ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางอยู่เสมอ เทคโนโลยีที่ดีจะยิ่งทรงคุณค่าเมื่ออยู่ในมือของเภสัชกรที่มีความรู้ความสามารถและจิตวิญญาณแห่งการดูแล
เทคโนโลยีที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าที่กำลังพลิกโฉมวงการเภสัชกรรมในยุคดิจิทัล การเข้าใจและพร้อมปรับตัวกับเครื่องมือใหม่ ๆ เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังส่งเสริมบทบาทของเภสัชกรในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอย่างรอบด้านค่ะ
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะช่วยให้ทุกๆท่านเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีในวิชาชีพเภสัชกรรม และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อการพัฒนาตนเองและการให้บริการผู้ป่วยในอนาคตได้อย่างมั่นใจค่ะ
Ref.
- National Association of Boards of Pharmacy (NABP). (2024). Revolutionizing health care: The evolving path of e-prescriptions. https://nabp.pharmacy/news/blog/revolutionizing-health-care-the-evolving-path-of-e-prescriptions
- Karino, S., Yamada, S., Shimamura, T., Takada, M., & Yamanouchi, Y. (2024). Pharmacists’ perceptions of e-prescriptions in Japan: A cross-sectional survey. Journal of Pharmaceutical Health Care and Sciences, 10, Article 20. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC10746557/
- Agency for Healthcare Research and Quality (AHRQ). (n.d.). Robotic dispensing improves patient safety, inventory management, and staff satisfaction. PSNet. https://psnet.ahrq.gov/issue/robotic-dispensing-improves-patient-safety-inventory-management-and-staff-satisfaction
- International Pharmaceutical Federation (FIP). (2025). Will AI replace the pharmacist? A FIP foresight publication [PDF]. https://www.fip.org/files/content/publications/2025/Will_AI_replace_the_pharmacist.pdf
- International Pharmaceutical Federation (FIP). (2024). Pharmacist workforce 2024: Ensuring safety, access, and quality of care [PDF]. https://www.fip.org/file/5082
- International Pharmaceutical Federation (FIP). (2024). FIP global report on digital health in pharmacy [PDF]. https://www.fip.org/file/5092
- International Pharmaceutical Federation (FIP). (2024). Pharmacy services report: Enhancing access, convenience, and health outcomes [PDF]. https://www.fip.org/file/5528
- GlobalRPh. (2024, April). Blockchain in the pharmaceutical supply chain. https://globalrph.com/2024/04/blockchain-in-pharmaceutical-supply-chain
- Schwinghammer, T. L., & Sharma, R. K. (2024). Clinical pharmacy education across leading global institutions: Innovations and impact. American Journal of Pharmaceutical Education, 88(2), Article 11932220. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11932220/
0 Comments