ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขไทยได้เผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งภาวะโรงพยาบาลแออัด การเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงได้ริเริ่ม “โครงการรับยาที่ร้านขายยา” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โครงการรับยาใกล้บ้าน” ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับยาต่อเนื่องได้จากร้านยาในชุมชน โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลทุกครั้ง
โครงการนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการส่งเสริมบทบาทของร้านยาและเภสัชกรในชุมชน ตลอดจนเป็นการวางรากฐานสู่ระบบบริการสุขภาพที่คล่องตัว ยืดหยุ่น และสอดรับกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งโครงการนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความแออัดของโรงพยาบาล
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โครงการนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ในปี พ.ศ. 2565 การใช้บริการลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้ป่วยหันไปใช้บริการส่งยาทางไปรษณีย์ของ สปสช. และโรงพยาบาลบางแห่งมองว่าโครงการนี้ไม่ช่วยลดภาระงานได้มากนัก
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักรูปแบบการดำเนินงานของโครงการทั้ง 3 โมเดล เปรียบเทียบข้อดี ข้อจำกัด รวมถึงแนวทางพัฒนาต่อเนื่อง เช่น “รูปแบบ 3X” ค่ะ
รูปแบบการดำเนินงานของโครงการรับยาที่ร้านขายยา
โครงการรับยาที่ร้านขายยาแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลและร้านยา ดังนี้
โมเดล 1: โรงพยาบาลจัดการทุกขั้นตอน
โรงพยาบาลเป็นผู้จัดเตรียมยา แพ็คยา และส่งยาไปยังร้านยาที่เข้าร่วม โดยร้านยามีหน้าที่เพียงรับยาและจ่ายให้ผู้ป่วย พร้อมบันทึกข้อมูลในระบบ e-Prescription ของ สปสช.
- ข้อดี (จากมุมมองร้านยา): “ร้านยาไม่ต้องเสียเวลาในการจัดซื้อ จัดหายา, ไม่ต้องเสียเวลาในการแพ็คยา, ไม่ต้องกังวลความความถูกต้องของยา (ความปลอดภัยในการจ่ายยาให้กับผู้ป่วย), ร้านยาไม่ต้องสูญเสียพื้นที่สำหรับการสต็อกยา และร้านยาไม่ต้องมีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มในการจัดหายา”
- ข้อดี (จากมุมมองโรงพยาบาล): ได้รับค่าตอบแทนจาก สปสช. 49 บาท/ใบสั่งยาผู้ป่วยนอก
- ข้อเสีย (จากมุมมองโรงพยาบาล): ลดความแออัดได้เพียง 1-4.9%, ผู้ป่วยนิยมรับยาทางไปรษณีย์มากกว่า, มีภาระงานในการคัดกรองผู้ป่วย จัดยา แพ็คยา และจัดส่งยา
- ข้อเสีย (จากมุมมองร้านยา): ระบบสารสนเทศยังไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการคีย์ข้อมูลและไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลอาการผู้ป่วยได้
โมเดล 2: ร้านยาจัดการสต็อกยา
โรงพยาบาลส่งใบสั่งยาให้ร้านยา ซึ่งร้านยาจะบริหารสต็อกยา จัดเตรียม และจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามใบสั่งแพทย์
- ข้อดี (จากมุมมองร้านยา): “ร้านยาไม่ต้องเสียเวลาในการจัดซื้อ จัดหายา, ไม่ต้องเสียเวลาในการแพ็คยา, ไม่ต้องกังวลความความถูกต้องของยา (ความปลอดภัยในการจ่ายยาให้กับผู้ป่วย), ร้านยาไม่ต้องสูญเสียพื้นที่สำหรับการสต็อกยา หรือร้านยาไม่ต้องมีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มในการจัดหายา” ได้รับค่าบริการ 80 บาท/ใบสั่งยาผู้ป่วยนอก
- ข้อดี (จากมุมมองโรงพยาบาล): ลดความแออัดได้ 5-9.9% , เภสัชกรโรงพยาบาลไม่ต้องแพ็คยาเป็นรายบุคคล
- ข้อเสีย (จากมุมมองโรงพยาบาล): มีภาระในการจัดเตรียมยาตามรอบเบิกของร้านยา และจัดส่งยา หรือร้านยามารับยาเอง , การกำหนดสต็อกยาให้ร้านยาอาจทำให้โรงพยาบาลไม่เห็นสต็อกที่แท้จริง
- ข้อเสีย (จากมุมมองร้านยา): ระบบสารสนเทศยังไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการคีย์ข้อมูลและไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลอาการผู้ป่วยได้
โมเดล 3: ร้านยาจัดการทุกอย่าง
โรงพยาบาลส่งเฉพาะข้อมูลใบสั่งยา ส่วนร้านยาจะจัดหายา บริหารสต็อก และจ่ายยาให้ผู้ป่วย โดยมีผู้จัดจำหน่าย (Distributor) เป็นตัวกลางในการจัดหายา
- ข้อดี (จากมุมมองร้านยา): เพิ่มบทบาทวิชาชีพเภสัชกร, เกิดการพัฒนาการบริหารจัดการคลังยาและธุรกิจของร้านยา, ได้รับข้อมูลอาการและใบสั่งยา ทำให้สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ, ได้รับค่าบริการ 90 บาท/ใบสั่งยาผู้ป่วยนอก
- ข้อดี (จากมุมมองโรงพยาบาล): ลดภาระการทำงานด้านการบริหารจัดการคลังยาและการขนส่งยา , ได้รับค่าบริการ 42 บาท/ใบสั่งยาผู้ป่วยนอก
- ข้อดี (จากมุมมอง Distributor): ได้รับบทบาทเป็นตัวกลางในการจัดหายา จัดเก็บ เตรียมยา และขนส่งไปยังร้านยา, มีโอกาสสร้างผลกำไร
- ข้อเสีย (จากมุมมองโรงพยาบาล): ลดความแออัดได้เพียง 1-4.9%, ภาระงานบุคลากรในกระบวนการคัดกรอง/ลงทะเบียนใช้เวลา 7-10 นาที, ร้านยาอาจได้ราคายาสูงกว่า Fee schedule ทำให้มีการเปลี่ยนยี่ห้อยาซึ่งผู้ป่วยอาจไม่เข้าใจ
- ข้อเสีย (จากมุมมองร้านยา): เกิดต้นทุนวัสดุสิ้นเปลือง, ต้องมีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มหรือสำรองในการจัดซื้อยา, บางรายการยาราคาสูงกว่า Fee schedule ทำให้กำไรน้อย, ต้องจัดเตรียมพื้นที่สต็อกยาแยก, ภาระงานเพิ่มขึ้น (45-60 นาที/ครั้ง) ซึ่งอาจกระทบการให้บริการลูกค้าทั่วไป, ระบบไม่เชื่อมโยงกันทำให้โรงพยาบาลไม่เห็นสต็อกจริง ร้านยาไม่สามารถพยากรณ์/กำหนดสต็อกยาได้
- ข้อเสีย (จากมุมมอง Distributor): อาจต้องจ้างบุคลากรเพิ่มเมื่อยอดสั่งยาเพิ่ม, ระบบรับ-ส่งข้อมูลกับร้านยา (Google Form, Line, Email) ยังไม่รองรับการเชื่อมโยงข้อมูล
บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หลายหน่วยงานมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการนี้ คือ
- กระทรวงสาธารณสุข: กำหนดนโยบายและสนับสนุนการปรับปรุงกฎระเบียบ
- สปสช.: จัดสรรงบประมาณและพัฒนาระบบสารสนเทศ
- สภาเภสัชกรรม: กำหนดแนวทางการทำงานของเภสัชกร
- สมาคมเภสัชกรรมชุมชน: พัฒนาทักษะเภสัชกรและหลักสูตรฝึกอบรม
- โรงพยาบาล: จัดการคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วย
- ร้านยา: จ่ายยาและบันทึกข้อมูล
- Distributor: จัดหาและส่งยาในโมเดล 3
การประเมินประสิทธิภาพและต้นทุน
จากการวิจัยของโครงการปฏิรูประบบจ่ายและกระจายยาเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพแบบบูรณาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2566 พบว่า
- โมเดล 1: ลดความแออัดได้น้อย (1-4.9%) และมีต้นทุนขนส่งสูง (32.99-63.54 บาทต่อใบสั่งยา)
- โมเดล 2: ลดความแออัดได้ปานกลาง (5-9.9%) และจัดการต้นทุนได้ดี (9.92 บาทต่อใบสั่งยา)
- โมเดล 3: ลดภาระโรงพยาบาลได้มากที่สุด แต่ร้านยามีความเสี่ยงเรื่องต้นทุนจัดซื้อยา
ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ
- จำนวนร้านยาที่ครอบคลุมพื้นที่
- กระบวนการคัดกรองที่ง่าย
- ระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยง
- การมี Distributor ที่มีประสิทธิภาพ
- การจ่ายเงินตรงเวลาจาก สปสช.
อุปสรรค:
- การแข่งขันกับการส่งยาทางไปรษณีย์
- มุมมองของโรงพยาบาลที่เน้นแค่การลดภาระ
- ราคายาที่ผันผวน
รูปแบบ 3X: การบริหารยาแบบครบวงจรโดย 3PL
ทีมวิจัยโครงการปฏิรูประบบจ่ายและกระจายยาเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพแบบบูรณาการ ได้เสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “รูปแบบ 3X” ซึ่งดึงศักยภาพของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (3PL – Third-Party Logistics) ให้เข้ามามีบทบาทใน 3 ขั้นตอนหลักของกระบวนการยา คือ
- Supply – รับผิดชอบการจัดหาและส่งยา จากคลังผู้ผลิตหรือศูนย์กลางไปยังโรงพยาบาลและร้านยา
- Processing – จัดการสต็อก ตรวจสอบคุณภาพยา จัดเตรียมการจัดส่ง รวมถึงควบคุมอุณหภูมิและการหมุนเวียนของยา ซึ่ง 3PL มักมีระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
- Distribution – ขนส่งยาอย่างปลอดภัย รวดเร็ว และสม่ำเสมอ ครอบคลุมทั้งการขนส่งปกติและ Cold Chain (สำหรับยาไวต่ออุณหภูมิ)
และทั้งหมดนี้จะเชื่อมข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างโรงพยาบาล ร้านยา และคลังยา ผ่านระบบดิจิทัลหรือแพลตฟอร์มกลาง
ข้อดีหลักของรูปแบบ 3X
- ลดต้นทุนรวมของระบบ
ผู้ให้บริการ 3PL มีเครือข่ายคลังและทรัพยากรขนส่งที่พร้อมใช้ ไม่ต้องลงทุนสร้างโครงสร้างเอง - ลดปริมาณสต็อกเกินจำเป็น
ด้วยระบบจัดการสต็อกอัตโนมัติ+ข้อมูลเรียลไทม์ ทำให้คาดการณ์ความต้องการได้แม่นยำ ลดยาใกล้หมดอายุและลดการจัดเก็บเกินควรได้ - เพิ่มความคล่องตัวทางการจัดการ
3PL มีระบบเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ เช่น predictive analytics และ IoT ช่วยติดตามการจัดส่ง ตรวจสอบสภาพยา และแจ้งเตือนปัญหาได้ทันที - เน้นความปลอดภัยและความสอดคล้องกับกฎระเบียบ
มีมาตรฐานการจัดเก็บ-ขนส่งยาอย่างเคร่งครัด เช่น ระบบ Cold Chain, การควบคุมอุณหภูมิ, และการตรวจสอบสารระหว่างทาง - ให้โรงพยาบาลและร้านยามุ่งเน้นงานหลักได้มากขึ้น
โดยไม่ต้องดูแลระบบโลจิสติกส์เอง ทำให้บุคลากรด้านสุขภาพสามารถทุ่มเทกับการดูแลผู้ป่วยได้เต็มที่
Ref.
- ชูศักดิ์ โอกาศเจริญ, ดวงพรรณ กริชชาญชัย, ธนัญญา วสุศรี, รวินกานต์ ศรีนนท์, & นันทวรรณ กิติกรรณากรณ์. (2566). รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการปฏิรูประบบจ่ายและกระจายยาเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพแบบบูรณาการ. คณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- McKesson Corporation. (n.d.). Logistics & supply chain solutions. Retrieved July 8, 2025, from https://www.mckesson.com
- VSS Logistics. (n.d.). Navigating complex challenges: The role of 3PL in healthcare. Retrieved July 8, 2025, from https://www.vsslogistics.com
0 Comments