กลยุทธ์ปรับตัวของร้านขายยายุคใหม่ท่ามกลางคลื่นแห่งการแข่งขันในปี 2024

by | 19 Apr 2024

สวัสดีครับ เภสัชกรทุกท่าน ผมเภสัชกรวิรุณ เวชศิริ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดในวงการยามายาวนานกว่า 20 ปีครับ ในช่วงปีนี้ ผมเองได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมร้านยาชุมชนและเภสัชกรเก่งๆ หลายท่านมาก ซึ่งทำให้ได้รับความรู้ และกรณีศึกษา ซึ่งได้นำไปเขียนไว้ในบทความหลายแห่งครับ แต่สำหรับวันนี้ บน block แห่งนี้ ผมมีเรื่องสำคัญมาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านกัน นั่นคือ เรื่องของการเปิดร้านขายยาให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในปีนี้และปีต่อๆ ไป ซึ่งได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาจะมาเขียนให้อ่านกันได้ครับ

จากข้อมูลล่าสุด ตลาดร้านขายยาบ้านเรามีมูลค่าสูงถึง 170,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนแบ่งของโรงพยาบาล 60% และร้านขายยาอิสระอีก 40% ถือเป็นตลาดที่ใหญ่และน่าสนใจมาก แต่ขณะเดียวกัน ก็มีการแข่งขันที่รุนแรงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการเข้ามาของร้านขายยาสมัยใหม่ หรือที่เรียกว่า Modern Trade Pharmacy นั่นเอง

Logo จำลองนะครับ

ไม่ว่าจะเป็น Tesco Lotus, CJ Express หรือแม้แต่ CP All (7-Eleven) ต่างก็พากันบุกตลาดร้านขายยากันอย่างคึกคัก ด้วยทุนและทรัพยากรที่เหนือกว่า พวกเขาสามารถเปิดร้านได้ในทำเลที่ดี ตกแต่งร้านให้ทันสมัย และมีสินค้าบริการที่ครบครัน จนคาดกันว่าในปี 2565 สัดส่วนร้านขายยาสมัยใหม่จะเพิ่มเป็น 25% ของตลาดทั้งหมด ในขณะที่ร้านแบบดั้งเดิมจะลดลงเหลือ 75% (ซึ่งเปลี่ยนจาก 90% ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีเองนะครับ)

ซึ่งก็เป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับเภสัชกรอิสระอย่างเราๆ แต่อย่าเพิ่งท้อใจไปครับ วันนี้ผมมีกลยุทธ์ดีๆ มาแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้ร้านเราสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ท่ามกลางคลื่นลมแห่งการแข่งขันนี้ ซึ่งว่าไปแล้วจะเป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างสากลแต่ตรงไปตรงมา ซึ่งน่าจะสามารถนำไปปรับใช้ได้เลยครับ

กลยุทธ์การปรับตัวของร้านยาใหม่

  • ข้อแรก คือ การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) แทนที่จะสู้กับร้านใหญ่ด้วยเงินทุนหรือขนาดร้าน เราต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเภสัชกร มาสร้างบริการที่มีคุณค่าเพิ่ม (Value-added Services) ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาเรื่องโรคและยาอย่างละเอียด บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น การขายยาเฉพาะทางที่หายาก หรือแม้แต่การจัดอบรมความรู้ให้ชุมชน

    สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีจุดขายที่โดดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าที่ร้านใหญ่อาจไม่สามารถทำได้ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดลูกค้าคนหนึ่งเป็นโรคเบาหวาน มาซื้อยาที่ร้านเรา เราไม่เพียงแค่ขายยาให้เขา แต่ยังให้ความรู้เรื่องการใช้ยา วิธีฉีดอินซูลิน การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย เรายังติดตามเขาอย่างต่อเนื่อง สอบถามค่าน้ำตาลเป็นระยะๆ เพื่อดูแลเขาอย่างครบวงจร ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละครับ ที่จะผูกใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการกับเราอีกและอีก
ให้พยายามสร้างความแตกต่างด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  • ประเด็นที่สอง คือ การสานสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (Customer Relationship) ด้วยความที่เราเป็นร้านในชุมชน เราจึงมีโอกาสรู้จักและเข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง เรารู้ว่าเขาชื่ออะไร ทำงานอะไร เป็นโรคอะไร ชอบหรือแพ้ยาตัวไหน ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้มากมาย

    เช่น เราอาจจดบันทึกประวัติของลูกค้าไว้ เพื่อเวลาเขามาซื้อยาครั้งต่อไป เราจะได้ให้คำแนะนำได้อย่างต่อเนื่องและตรงจุด หรือเราอาจมีระบบสมาชิก มอบส่วนลดพิเศษในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด หรือเทศกาลสำคัญ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับเรา และกลับมาซื้อซ้ำ นอกจากนี้ เรายังต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า หรือที่เรียกว่า Voice of Customer ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยตอนเขามาที่ร้าน กล่องรับความคิดเห็น หรือแม้แต่โพสต์ถามในเพจ Facebook ของร้าน เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น
หนึ่งในความชื่นใจในการทำงานเภสัชกรรมชุมชน คือ การได้ยืนมีความสุขร่วมกันกับคนไข้นี่หละครับ
  • ข้อต่อมา คือ การปรับตัวให้คล่องตัวและยืดหยุ่น (Agility and Flexibility) ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ร้านอิสระอย่างเรามีเหนือกว่าร้านใหญ่ เพราะเราสามารถตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ทันที โดยไม่ต้องรอนโยบายมาจากส่วนกลาง เช่น ถ้าเรารู้ว่ากำลังมีไข้หวัดระบาดในพื้นที่ เราก็สต๊อกยาและสินค้าที่เกี่ยวข้องไว้เลย ปรับเปลี่ยนชั้นวางให้โดดเด่น โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากใคร หรือถ้าคู่แข่งใกล้ๆ ลดราคายา เราก็ลดตามได้ทันที เพื่อไม่ให้เสียลูกค้าไป นี่คือความว่องไวที่ร้านใหญ่อาจทำได้ยาก
ใครมีป้าย Dashboard แบบ real time แบบนี้ได้นี่ เจ๋งมากเลยนะครับ
  • และสุดท้าย คือ การสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นและเป็นที่จดจำ เราต้องหาจุดยืนของร้าน แล้วสื่อสารออกไปอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะผ่านชื่อร้าน ป้ายหน้าร้าน การบริการที่ประทับใจ หรือการทำการตลาดทั้งแบบ online และ offline อย่างต่อเนื่อง
การสร้างการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นและเป็นที่จดจำเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้ง Personal Branding หรือ Store Branding ก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น หากเราอยากให้ลูกค้านึกถึงเราในฐานะ “ร้านยาที่ใส่ใจสุขภาพคุณ” เราก็ต้องคิดชื่อร้านที่บ่งบอกถึงแนวคิดนี้ ตกแต่งร้านให้ดูอบอุ่นเป็นมิตร มีโปสเตอร์ให้ความรู้เรื่องสุขภาพ พนักงานยิ้มแย้ม เอาใจใส่ลูกค้าทุกราย นอกจากนี้ เรายังออกไปจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพฟรีตามชุมชน หรือโพสต์ความรู้ดีๆ ผ่านเพจเฟซบุ๊คอย่างสม่ำเสมอ พอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แบรนด์ของเราก็จะค่อยๆ ฝังลึกในใจลูกค้า จนวันนึงไม่ว่าร้าน 7-Eleven จะมาเปิดใกล้แค่ไหน เขาก็ยังเลือกมาซื้อยากับเราอยู่ดี นั่นคือพลังของการสร้างแบรนด์ครับ

สรุป

หากเภสัชกรอย่างเราอยากเปิดร้านขายยาให้อยู่รอด ต้องโฟกัสไปที่ 4 กลยุทธ์หลักๆ คือ

  1. สร้างความแตกต่างด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเรา
  2. สานสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการเก็บข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น
  3. ปรับตัวให้คล่องตัวและยืดหยุ่น คว้าทุกโอกาสทางธุรกิจที่ผ่านเข้ามา
  4. สร้างแบรนด์ให้โดนใจลูกค้าด้วยการสื่อสารอย่างต่อเนื่องทั้ง online และ offline

การบ้าน

ก่อนจากกันวันนี้ ผมมีการบ้านง่ายๆ มาฝากครับ ลองนึกภาพตัวเองในวันที่กำลังจะเปิดร้านขายยา แล้วถามตัวเองดังนี้

  • จุดแข็งของเราคืออะไร? เราจะนำมาใช้สร้างความแตกต่างได้อย่างไร?
  • เรามีฐานข้อมูลลูกค้าหรือยัง? ถ้ายัง จะเริ่มเก็บได้อย่างไร?
  • ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดโรคระบาด หรือคู่แข่งลดราคา เราพร้อมปรับตัวหรือยัง?
  • แบรนด์เรา คืออะไร? เราจะสื่อสารออกไปผ่านช่องทางใดบ้าง?

ลองคิดให้ดีนะครับ ยิ่งเรามีคำตอบที่ชัดเจน ก็จะยิ่งทำให้การออกตัวสร้างร้านขายยาของเราง่ายขึ้น และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้เภสัชกรไทยทุกท่าน ขอให้มีพลังกายใจที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น ตั้งใจ และมีความสุขกับการทำในสิ่งที่รักครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

Ready to Connect Innovation and Healthcare?

พร้อมที่จะเชื่อมโยงนวัตกรรมของคุณกับการเข้าถึงสุขภาพที่ดีหรือยังครับ?
ติดต่อเราวันนี้เพื่อปรึกษาว่าเราจะช่วยให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพของคุณเติบโตได้อย่างไร

0 Comments

Ready to Connect Innovation and Healthcare?

พร้อมที่จะเชื่อมโยงนวัตกรรมของคุณกับการสร้างระบบสุขภาพที่ดีหรือยังครับ?

ติดต่อเราวันนี้เพื่อปรึกษาว่าเราจะช่วยให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพของคุณเติบโตได้อย่างไร

คุยกับทีมงาน