เภสัชพันธุศาสตร์ (Pharmacogenomics) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและการตอบสนองของร่างกายต่อยา ความรู้ด้านนี้มีความสำคัญมากขึ้นในยุคปัจจุบัน เนื่องจากช่วยให้เภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์สามารถทำนายการตอบสนองต่อยาได้แม่นยำยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมอย่างสูง การทำความเข้าใจเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งเภสัชกรและผู้ป่วยในการจัดการการใช้ยาได้ดียิ่งขึ้น
ความสำคัญของเภสัชพันธุศาสตร์
เภสัชพันธุศาสตร์ช่วยในการทำนายว่าผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาอย่างไร โดยพิจารณาจากพันธุกรรมของผู้ป่วย ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงของการเกิดอาการข้างเคียง และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยา Allopurinol ซึ่งใช้รักษาโรคเกาต์ (Gout) ที่มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น Stevens-Johnson Syndrome โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มียีน HLA-B 5801 ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนไทยประมาณ 16% มียีนนี้ และเสี่ยงต่อการแพ้ยาถึง 700 เท่า ดังนั้น การตรวจยีนก่อนใช้ยาจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงนี้ได้

เภสัชกรที่มีความรู้และความเข้าใจในเภสัชพันธุศาสตร์จะสามารถให้คำแนะนำที่แม่นยำกับผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการใช้ยาในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพ้ การตรวจยีนสามารถช่วยให้เภสัชกรเลือกใช้ยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายครับ
การตรวจยีนที่เกี่ยวข้องกับยา
ในทางปฏิบัติ การตรวจยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับยาได้เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้นในประเทศไทย ยีน HLA-B 5801 เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดเกี่ยวกับการแพ้ยา Allopurinol นอกจากนี้ยังมียีนส์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของยา เช่น
- CYP2C19: เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญยากลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPI) เช่น Omeprazole ซึ่งใช้รักษาโรคกรดไหลย้อน
- CYP2C9: เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญยากลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) เช่น Ibuprofen
- TPMT: เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อยา Azathioprine ซึ่งใช้ในโรคภูมิต้านตนเอง

การตรวจยีนเหล่านี้สามารถช่วยให้เภสัชกรและแพทย์ทำการวินิจฉัยและปรับการใช้ยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากขึ้น เพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา
โอกาสในการใช้เภสัชพันธุศาสตร์ในร้านยา
เภสัชพันธุศาสตร์ยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ สำหรับร้านยา ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ขั้นต้น ร้านยาสามารถนำการตรวจยีนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริการ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มรายได้แล้ว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านยาและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกด้วย เภสัชกรสามารถให้บริการตรวจยีนในร้านยาและใช้ผลการตรวจเพื่อให้คำแนะนำการใช้ยาที่เหมาะสมและปลอดภัยได้
ตัวอย่างเช่น ร้านยาสามารถให้บริการตรวจยีน HLA-B 5801 เพื่อทำนายการแพ้ยา Allopurinol ได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังเป็นบริการที่จำกัดอยู่ในโรงพยาบาล แต่หากร้านยาสามารถขยายการให้บริการได้ ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วยและเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ
การฝึกอบรมเภสัชกรในด้านเภสัชพันธุศาสตร์
การฝึกอบรมเภสัชกรให้มีความรู้ความเข้าใจในเภสัชพันธุศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สภาเภสัชกรรมได้กำหนดหลักสูตรการฝึกอบรมเภสัชพันธุศาสตร์สำหรับเภสัชกร โดยแบ่งออกเป็นหลักสูตร 16 ชั่วโมงสำหรับเภสัชกรทั่วไป และหลักสูตร 8 ชั่วโมงที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับเภสัชกรรมชุมชน หลักสูตรเหล่านี้มุ่งเน้นการให้ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการตรวจยีน การอ่านผลตรวจ และการให้คำแนะนำการใช้ยา
การฝึกอบรมยังถูกออกแบบให้มีการเรียนการสอนในลักษณะสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ เพื่อให้เภสัชกรสามารถฝึกทักษะและทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น เภสัชกรที่เรียนรู้เกี่ยวกับการตรวจยีนและการวิเคราะห์ผล สามารถใช้ทักษะนี้ในการให้คำแนะนำการใช้ยาที่แม่นยำและลดความเสี่ยงของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น (ลองติดตามข่าวการอบรมที่สภาเภสัชกรรม หรือ สมาคมเภสัชกรรมชุมชน(ประเทศไทย) จัดขึ้นนะครับ
การใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูล
ในปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อเก็บและเข้าถึงข้อมูลการตรวจยีนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการให้บริการทางเภสัชกรรม การใช้แอปพลิเคชันมือถือสำหรับเก็บข้อมูลการแพ้ยาและผลการตรวจยีนช่วยให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพกพาข้อมูลการตรวจยีนติดตัวได้ และสามารถแสดงให้แพทย์หรือเภสัชกรดูได้เมื่อต้องการทำการรักษา

นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บตัวอย่าง DNA เช่น การเก็บจากน้ำลาย (Saliva Collection) โดยไม่ต้องเจาะเลือด ยังช่วยลดความยุ่งยากและทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจยีนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แนวโน้มในอนาคตและการขยายบริการ
การใช้เภสัชพันธุศาสตร์ในร้านยาและสถานพยาบาลต่าง ๆ เป็นแนวโน้มที่มีศักยภาพในการพัฒนาและขยายตัวต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะใน Primary Care เช่น ร้านขายยาและคลินิกเวชกรรม เภสัชกรที่มีความรู้ในด้านเภสัชพันธุศาสตร์จะสามารถให้บริการตรวจยีนที่หลากหลายและเป็นที่ต้องการของผู้ป่วยมากขึ้น

การพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับการตรวจยีนในกลุ่มประชากรไทยยังเป็นแนวทางที่สำคัญในการปรับปรุงแนวทางการใช้ยาในอนาคต เช่น การวิจัยเกี่ยวกับยีนที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ยากลุ่มเบต้าแลคตัม (Beta-lactam) อย่าง penicillin ที่มีการแพ้มากในคนไทย การมีข้อมูลการตรวจยีนที่ครอบคลุมจะช่วยให้เภสัชกรสามารถปรับการใช้ยาได้เหมาะสมกับผู้ป่วยมากขึ้น
ตัวอย่างและการฝึกคิดสำหรับผู้อ่าน
- กรณีศึกษา: ลองนึกถึงกรณีที่ผู้ป่วยเข้ามาที่ร้านยาของคุณและต้องการซื้อยา Allopurinol ซึ่งเป็นยาที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้ คุณจะให้คำแนะนำอย่างไรกับผู้ป่วย และคุณคิดว่าการตรวจยีน HLA-B 5801 จะมีประโยชน์อย่างไรในกรณีนี้?
- คิดต่อยอด: หากคุณเป็นเภสัชกรที่ต้องการขยายบริการในร้านยาของคุณ คุณจะเลือกบริการใดเป็นบริการเสริม และเหตุใดคุณถึงคิดว่าบริการนั้นจะเป็นที่ต้องการของผู้ป่วย?
สรุป
เภสัชพันธุศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ช่วยให้การใช้ยามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การที่เภสัชกรเรียนรู้และนำความรู้นี้มาใช้ในการให้บริการจะไม่เพียงแต่เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย แต่ยังสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในร้านยาได้อีกด้วย การฝึกอบรมและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเก็บข้อมูลการตรวจยีนยังเป็นวิธีที่ช่วยให้เภสัชกรสามารถให้บริการที่มีคุณค่าและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.

References
Elewa, H., & Awaisu, A. (2019). Pharmacogenomics In Pharmacy Practice: Current Perspectives.
Gammal, R. S., Gardner, K. N., & Burghardt, K. (2016). Where to find guidance on using pharmacogenomics in psychiatric practice.
Weinshilboum, R., & Wang, L. (2017). Pharmacogenomics: Precision Medicine and Drug Response.
Lazaridis, K. (2017). Improving Therapeutic Odyssey: Preemptive Pharmacogenomics Utility in Patient Care.
Malsagova, K., Butkova, T., Kopylov, A., Izotov, A., Potoldykova, N., Enikeev, D., et al. (2020). Pharmacogenetic Testing: A Tool for Personalized Drug Therapy Optimization.
0 Comments