ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการด้านต่างๆ กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการสาธารณสุข ที่การจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วย

โครงการ Vendor Managed Inventory (VMI) ได้ถูกนำมาใช้เพื่อปฏิวัติวิธีการบริหารจัดการยาในโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนยา เพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทยาได้ครับ
VMI คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ?
VMI ย่อมาจาก Vendor Managed Inventory ซึ่งเป็นรูปแบบการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (inventory management) ที่ผู้ขาย (vendor) รับผิดชอบในการควบคุมและเติมเต็มสินค้าให้กับลูกค้า (customer) แทนที่ลูกค้าจะเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าเอง ในกรณีของการบริหารจัดการยาในโรงพยาบาล ผู้ขายก็คือบริษัทยา ส่วนลูกค้าก็คือโรงพยาบาลนั่นเองครับ

ภายใต้ระบบ VMI บริษัทยา หรือ บริษัทผู้กระจายยาจะสามารถเข้าถึงข้อมูลสต๊อกยาแบบเรียลไทม์ของโรงพยาบาลผ่านระบบ API (Application Programming Interface) กลางที่พัฒนาขึ้นโดยโรงพยาบาล/สถานพยาบาล ซึ่งด้วยข้อมูลนี้ บริษัทยาจะสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการใช้ยา (drug utilization) คาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้ยาในอนาคต และวางแผนการผลิตและจัดส่งยาให้กับโรงพยาบาลได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ส่งผลให้โรงพยาบาลมีสต๊อกยาที่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะขาดยาหรือมียาเหลือมากจนเกินไป ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและพื้นที่ในการจัดเก็บยา (inventory holding cost)

ตัวอย่างเช่น เมื่อโรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มียอดการใช้ยาปริมาณมาก ก่อนหน้านี้ เภสัชกรจะต้องคอยตรวจสอบสต๊อกยาและคาดการณ์ปริมาณการใช้ยาด้วยตนเอง ทำให้บางครั้งเกิดความผิดพลาด สั่งยามากเกินไปจนมียาเหลือจำนวนมาก หรือสั่งน้อยเกินไปจนเกิดการขาดยาในช่วงที่มีความต้องการใช้ยาสูง การนำระบบ VMI มาใช้ จะทำให้บริษัทยาสามารถเห็นข้อมูลการใช้ยาของโรงพยาบาล คาดการณ์แนวโน้มความต้องการใช้ยา และจัดส่งยาให้กับโรงพยาบาลได้อย่างเพียงพอและตรงเวลา ทำให้สต๊อกยาของโรงพยาบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่กระทบต่องบประมาณการจัดซื้อยา

การพัฒนาระบบ VMI ในประเทศไทย
ในประเทศไทย แนวคิดเรื่อง VMI ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างจริงจังในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เนื่องจากหลายโรงพยาบาลประสบปัญหาการขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จึงเกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ในการพัฒนาระบบ VMI ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้

ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เช่น โรงเรียนแพทย์หลายแห่ง ได้มีการพัฒนาระบบ API กลาง ที่เชื่อมต่อข้อมูลสต๊อกยาระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทยา โดยเริ่มทดลองใช้กับโรงเรียนแพทย์บางแห่งเป็นนำร่อง ร่วมกับบริษัทผู้จัดจำหน่วยยาอย่างเช่น Zuellig Pharma หรือ DKSH และบริษัทยา Generic บางราย ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจ จึงมีแผนที่จะขยายการใช้งานไปยังโรงพยาบาลของรัฐในลำดับต่อไปเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ระบบ VMI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบการจัดซื้อยาแบบเดิมของโรงพยาบาล แต่จะเป็นระบบเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการยาให้ดียิ่งขึ้น โดยบริษัทยาที่เข้าร่วมโครงการ VMI อาจได้รับคะแนน Performance เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาคัดเลือกบริษัทยาสำหรับการจัดซื้อยาในอนาคต ส่วนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและดูแลระบบ จะมีการแบ่งสรรความรับผิดชอบระหว่างคณะแพทย์ โรงพยาบาล และบริษัทยาที่เข้าร่วมโครงการ

ประโยชน์ของระบบ VMI ต่อระบบสาธารณสุขไทย
ในระยะยาว การนำระบบ VMI มาใช้ในการบริหารจัดการยาจะช่วยยกระดับระบบสาธารณสุขของไทยได้อย่างมาก ดังนี้
- สร้างความสมดุลในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของยา ระหว่างอุปสงค์ (demand) จากฝั่งโรงพยาบาล และอุปทาน (supply) จากฝั่งบริษัทยา ทำให้สต๊อกยามีความเหมาะสม ลดความเสี่ยงจากการขาดยาและมียาเหลือมากเกินไป
- เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคลังยาของโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บยา (inventory cost) และเพิ่มอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (inventory turnover)
- ส่งเสริมการนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย (data-driven policy) โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลการใช้ยาจากระบบ VMI ไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนการผลิตยา การจัดสรรงบประมาณ และการกำหนดนโยบายด้านสาธารณสุขได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
- ยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วย (patient care) เมื่อโรงพยาบาลมีระบบบริหารจัดการยาที่มีประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลให้การดูแลรักษาผู้ป่วยมีความต่อเนื่อง ไม่สะดุดหยุดลงเพราะปัญหาขาดยา ผู้ป่วยจึงจะได้รับยาที่จำเป็นสำหรับการรักษาอย่างครบถ้วนและทันเวลา ส่งผลดีต่อประสิทธิผลในการรักษา (treatment efficacy)
- เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ได้แก่ ภาครัฐ โรงพยาบาล บริษัทยา และสถาบันการศึกษา ในการร่วมกันพัฒนาระบบบริหารจัดการยาของประเทศให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โครงการ VMI นับเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อปฏิรูประบบบริหารจัดการยาให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด Healthcare 4.0 ที่มุ่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการขับเคลื่อนภาคสาธารณสุข ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขไทยมีความแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาพในยุคปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดีครับ
คำถามชวนคิด:
- ลองยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ระบบ VMI จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนยาในโรงพยาบาลได้อย่างไรบ้างครับ?
- หากคุณเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล คุณจะมีกลยุทธ์อย่างไรในการสื่อสารและส่งเสริมให้บุคลากรในโรงพยาบาลยอมรับการนำระบบ VMI มาใช้?
- ให้ลองวิเคราะห์ความท้าทายหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการพัฒนาและใช้งานระบบ VMI ในบริบทของประเทศไทย พร้อมเสนอแนวทางในการรับมือกับความท้าทายหรืออุปสรรคดังกล่าวดูครับ
ข้อมูลชวนอ่านเพิ่มเติม
- (Krichanchai & MacCarthy, 2017) งานวิจัยเกี่ยวกับ VMI ในการจัดหายาระหว่างผู้จัดจำหน่ายและโรงพยาบาลในประเทศไทย การศึกษาเน้นถึงความสำคัญของคุณลักษณะของโรงพยาบาล เช่น ประเภทของโรงพยาบาลและมุมมองของฝ่ายบริหาร ในการปรับใช้ VMI
- (Voeng & Kritchanchai, 2019) งานวิจัยต่อเนื้องโดยใช้ VMI ในการจัดหายาระหว่างผู้จัดจำหน่ายและโรงพยาบาล โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซัพพลายเออร์เพื่อปรับปรุงระดับการให้บริการและความพึงพอใจของผู้ป่วย
- (Weraikat, Kazemi Zanjani, & Lehoux, 2019) งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานด้านเภสัชกรรมโดยใช้ VMI เพื่อลดยาที่หมดอายุในโรงพยาบาล
- (Putri, Peranginangin, & Pribadi, 2021) งานวิจัยประเมินระบบข้อมูลการจัดการสำหรับการควบคุมสินค้าคงคลังยาในโรงพยาบาล โดยจัดการกับความท้าทายต่างๆ เช่น คำเตือนว่าสินค้าหมดสต็อก และการวางแผนจัดซื้อยาด้วยตนเอง
- (Kim, 2005) งานวิจัยออกแบบระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมสินค้าคงคลังและลดต้นทุนการจัดการวัสดุของผลิตภัณฑ์ยาในภาคการดูแลสุขภาพ
0 Comments