AI สำหรับเภสัชกรAI x Pharmacy: ถอดรหัสอนาคตวิชาชีพเภสัชกรรมผ่านมุมมอง FIP

by | 8 Sep 2025

AI สำหรับเภสัชกร: คู่มือฉบับอินเทอร์แอคทีฟ

ภาพรวม: AI คืออะไรและสำคัญอย่างไร

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงวงการสุขภาพและเภสัชกรรมอย่างรวดเร็ว ส่วนนี้จะแนะนำแนวคิดพื้นฐานของ AI และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและนวัตกรรมในสายงานเภสัชกรรม ตั้งแต่การเพิ่มความแม่นยำในการดูแลผู้ป่วยไปจนถึงการเร่งกระบวนการค้นพบยาใหม่

ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(คลิกเพื่อดูคำอธิบาย)

ศาสตร์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การให้เหตุผล และการแก้ปัญหา

การเรียนรู้ของเครื่อง (ML)

(คลิกเพื่อดูคำอธิบาย)

ส่วนหนึ่งของ AI ที่ระบบจะเรียนรู้และปรับปรุงจากข้อมูล โดยไม่ต้องตั้งโปรแกรมกฎเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน

การเรียนรู้เชิงลึก (DL)

(คลิกเพื่อดูคำอธิบาย)

เทคนิคย่อยของ ML ที่ใช้โครงข่ายประสาทเทียมหลายชั้นเพื่อเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนจากข้อมูลจำนวนมหาศาล

Generative AI

(คลิกเพื่อดูคำอธิบาย)

AI ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือโค้ดคอมพิวเตอร์ ได้ด้วยตนเอง

ขอบเขตที่ AI มีบทบาทสำคัญในงานเภสัชกรรม

การประยุกต์ใช้ AI ในวงจรชีวิตของยา

AI ถูกนำมาใช้ในทุกขั้นตอนของวงจรผลิตภัณฑ์ยา ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาไปจนถึงการดูแลผู้ป่วย ส่วนนี้จะแสดงตัวอย่างการใช้งาน AI ในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้เห็นภาพว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในงานเภสัชกรรมได้อย่างไร ลองคลิกที่แต่ละขั้นตอนเพื่อดูรายละเอียด

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

การนำ AI มาใช้ในงานเภสัชกรรมไม่ได้มีแต่ประโยชน์ แต่ยังมาพร้อมกับความท้าทายและประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านจริยธรรม ความปลอดภัยของข้อมูล หรือความพร้อมของบุคลากร การทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อการใช้ AI อย่างรับผิดชอบและยั่งยืน

จริยธรรมและความเอนเอียง

ต้องแน่ใจว่าอัลกอริทึมที่ใช้มีความยุติธรรม ไม่เอนเอียง และการตัดสินใจของ AI สามารถอธิบายได้ เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ป่วยและบุคลากร

ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

การปกป้องข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ต้องมีมาตรการที่รัดกุมในการจัดการและป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

กฎระเบียบและข้อบังคับ

หน่วยงานกำกับดูแลจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน สำหรับการประเมินและอนุมัติเครื่องมือ AI ทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย

การบูรณาการกับระบบเดิม

การนำระบบ AI มาเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลหรือร้านยาที่มีอยู่เดิม เป็นความท้าทายทางเทคนิคที่ต้องมีการวางแผนอย่างดี

ความรับผิดชอบ

เมื่อเกิดข้อผิดพลาดจากการทำงานของ AI คำถามสำคัญคือใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เภสัชกร, ผู้พัฒนา AI, หรือองค์กร? ประเด็นนี้ยังคงต้องมีการถกเถียงและหาข้อสรุป

ความพร้อมของบุคลากร

เภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์จำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพ

อนาคตและทักษะที่จำเป็นสำหรับเภสัชกร

บทบาทของเภสัชกรกำลังจะเปลี่ยนไปในยุค AI การปรับตัวและพัฒนาทักษะใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อคงความสามารถในการแข่งขันและส่งมอบการบริบาลที่มีคุณภาพสูงสุด การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้เภสัชกรสามารถใช้ประโยชน์จาก AI เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการดูแลผู้ป่วย

  • ความรู้พื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Literacy)

    ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ AI, ข้อมูล, และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้สามารถประเมินและเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างเหมาะสม

  • การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา (Critical Thinking)

    สามารถประเมินผลลัพธ์ที่ได้จาก AI, ตรวจสอบความถูกต้อง, และนำข้อมูลมาใช้ตัดสินใจทางคลินิกได้อย่างมีวิจารณญาณ

  • ความเข้าใจด้านจริยธรรมและกฎหมาย (Ethical and Legal Understanding)

    ตระหนักถึงประเด็นทางจริยธรรมและความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ในการดูแลผู้ป่วย

  • ทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน (Communication and Collaboration)

    สามารถอธิบายข้อมูลที่ได้จาก AI ให้ผู้ป่วยและทีมสหวิชาชีพเข้าใจได้ง่าย และทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างราบรื่น

  • การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)

    มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

ทำความเข้าใจคำศัพท์สำคัญในโลกของ AI เพื่อให้คุณสามารถพูดคุยและติดตามข่าวสารในแวดวงนี้ได้อย่างมั่นใจ คลิกที่แต่ละคำเพื่อดูคำอธิบาย

สังเคราะห์และเรียบเรียงข้อมูลจาก: FIP – An Artificial Intelligence Toolkit for Pharmacy (March 2025)

แอปพลิเคชันนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาและสรุปองค์ความรู้เท่านั้น


บทความโดยละเอียด

เภสัชกรวิรุณ เวชศิริ
กรรมการสมาคมเภสัชกรรมการตลาด (ประเทศไทย)
เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
สมาชิกก่อตั้งวิทยาลัยการบริหารเภสัชกิจแห่งประเทศไทย สภาเภสัชกรรม
กรรมการบริษัท Pharm Connection Co., Ltd.
Email : wirun.wetsiri@gmail.com 

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

ภาพรวมของปัญญาประดิษฐ์ในวงการเภสัชกรรม

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปรียบเหมือนพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ มิติ ซึ่งรวมถึงวิชาชีพเภสัชกรรมด้วย ตั้งแต่การค้นคว้ายาไปจนถึงการดูแลผู้ป่วย บทความฉบับนี้ผมจะลองเรียงเรียงเนื้อหาที่ประกอบไปด้วย การสำรวจภาพสองด้านของ AI ทั้งในฐานะการเป็นเครื่องมือสนับสนุนที่ทรงพลังและการเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งต้องการการกำกับดูแลอย่างรอบคอบ AI กำลังคืบเข้ามาปฏิวัติวงการสาธารณสุขตั้งแต่งานการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์จำนวนมหาศาล, ช่วยในการตัดสินใจทางคลินิก, การปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย, การทำนายการระบาดของโรค และการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานด้วย เราจะกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อไปครับ นอกจากนี้ การได้อ่านบทความนี้ น่าจะช่วยเป็นการวางกรอบและพื้นฐานเบื้องต้น เพื่อที่ท่านๆ จะเข้าไปอ่านบทความฉบับเต็มของ FIP ต่อไป

วิสัยทัศน์ของ FIP เพื่อบุคลากรทางเภสัชกรรมที่มีความสามารถทางดิจิทัล

สหพันธ์เภสัชกรรมระหว่างประเทศ (International Pharmaceutical Federation : FIP) ได้แสดงจุดยืนเชิงรุกผ่านการจัดทำ “ชุดเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์สำหรับเภสัชกรรม” (An artificial intelligence toolkit for pharmacy) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการลดช่องว่างทางความรู้และเสริมสร้างศักยภาพให้เภสัชกรสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การจัดทำชุดเครื่องมือนี้ไม่ได้เป็นเพียงโครงการริเริ่มด้านการศึกษา แต่เป็นความเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อยืนยันความเกี่ยวข้องและบทบาทของวิชาชีพเภสัชกรรมในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยวางตำแหน่งให้เภสัชกรเป็นผู้บุกเบิกที่สำคัญของการใช้ AI ในการดูแลสุขภาพ แทนที่จะเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ การที่ FIP กำหนดกรอบการทำงานนี้ขึ้นมา เป็นการสร้างความมั่นใจส่วนหนึ่งว่าวิชาชีพเภสัชกรรมจะยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคตของสุขภาพดิจิทัล โดยป้องกันไม่ให้ผู้จำหน่ายเทคโนโลยีหรือสาขาวิชาชีพอื่นเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการบูรณาการ AI ในการจัดการด้านยาแทนได้

ความสอดคล้องกับเป้าหมายสุขภาพระดับโลก

การผนวก AI มาใช้ในร้านยาและสถานพยาบาลสอดคล้องโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาของ FIP (FIP Development Goals) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 20 (สุขภาพดิจิทัล) การเชื่อมโยงนี้ยกระดับหัวข้อจากการอภิปรายทางเทคโนโลยีไปสู่ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์เพื่อความก้าวหน้าของผลลัพธ์ด้านสุขภาพทั่วโลก และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG) AI สนับสนุนเสาหลักสามประการของเป้าหมายที่ 20 ดังนี้:

  • การศึกษาและบุคลากร: พัฒนาบุคลากรทางเภสัชกรรมให้มีความรู้ความสามารถทางดิจิทัล
  • การปฏิบัติงาน: เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงที่เท่าเทียม
  • วิทยาศาสตร์: อำนวยความสะดวกในการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านสุขภาพ

การรับมือกับความท้าทายหลัก

แน่นอนว่า เภสัชกรจะต้องพบกับประเด็นความท้าทายในการนำ AI มาใช้ เช่น ประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล, อคติของอัลกอริทึม, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และข้อพิจารณาทางจริยธรรม ซึ่งการนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพเภสัชกรจำเป็นต้องเข้าใจถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของ AI รวมถึงการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับความท้าทายเฉพาะด้านนั้นๆ ไป

การถอดรหัสปัญญาประดิษฐ์สำหรับเภสัชกร

แนวคิดพื้นฐาน

  • ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI): สาขาหนึ่งของวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มุ่งสร้างระบบที่สามารถทำงานที่ต้องใช้สติปัญญาของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้, การให้เหตุผล, การแก้ปัญหา และการจดจำรูปแบบ
  • การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning – ML): สาขาย่อยของ AI ที่มุ่งเน้นว่าระบบคอมพิวเตอร์จะสามารถปรับปรุงการรับรู้, ความรู้, การให้เหตุผล หรือการกระทำผ่านประสบการณ์หรือข้อมูลได้อย่างไร
  • การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning): เกี่ยวข้องกับการใช้โครงข่ายประสาทเทียมขนาดใหญ่หลายชั้นที่ประมวลผลข้อมูลโดยใช้การแทนค่าแบบต่อเนื่อง โมเดลการเรียนรู้เชิงลึกมักทำงานเป็น “กล่องดำ” (black boxes) ซึ่งหมายความว่าวิธีการที่โมเดลใช้ในการสรุปผลนั้นไม่สามารถอธิบายได้โดยตัว AI เองหรือผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่การอภิปรายเรื่องความโปร่งใสในภายหลัง

การแบ่งประเภทของ AI

  • AI สำหรับพยากรณ์ (Predictive AI): โมเดลปัญญาประดิษฐ์ประเภทนี้ จะเรียนรู้รูปแบบจากข้อมูลที่เราส่งให้และจะนำรูปแบบเหล่านั้นไปใช้กับข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ตัวอย่างการใช้งานในทางเภสัชกรรม ได้แก่ การจดจำเม็ดยา, การออกแบบยา, การวินิจฉัยโรคมะเร็ง และการวิเคราะห์สุขภาพของประชากร
  • AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI): โมเดลประเภทนี้จะเรียนรู้รูปแบบจากข้อมูลเพื่อสร้างข้อมูลใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้มีตั้งแต่ข้อความ, สเปรดชีต, รูปภาพ ไปจนถึงวิดีโอ ChatGPT, Gemini, Claude เป็นตัวอย่างที่ได้รับความนิยม แต่ก็มีความเสี่ยงที่สำคัญคือ “การหลอนของ AI” (AI hallucination) ซึ่งคือการสร้างผลลัพธ์ที่ผิดพลาด, ไม่มีเหตุผล หรือเป็นข้อมูลที่แต่งขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังในการนำมาใช้งานด้านการดูแลสุขภาพ
ประเภทของ AI (จากเอกสารของ FIP)

รูปแบบการเรียนรู้ของ AI

  • การเรียนรู้แบบมีผู้สอน (Supervised Learning): เป็นการฝึกโมเดลด้วย “ข้อมูลที่มีการติดป้ายกำกับ” (pre-labelled data) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการค้นพบยาใหม่ เช่น การค้นพบยาปฏิชีวนะ Halicin อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักในวงการดูแลสุขภาพคือการสร้างชุดข้อมูลทางคลินิกที่มีคุณภาพและติดป้ายกำกับอย่างถูกต้องนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรและเวลาสูง
ฮาลิซิน (Halicin) เป็นยาปฏิชีวนะที่ค้นพบโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในปี 2019 เดิมทีถูกพัฒนาเพื่อรักษาโรคเบาหวานแต่ไม่สำเร็จ ฮาลิซินมีกลไกการทำงานที่ไม่เหมือนใครในการต่อต้านแบคทีเรียหลายชนิด รวมถึงแบคทีเรียดื้อยาหลายขนาน (MDR bacteria) โดยการรบกวนการสร้างความต่างศักย์ของอิเล็กโทรเคมี (electrochemical gradient) ในเยื่อหุ้มเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งนำไปสู่การยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ปัจจุบันฮาลิซินยังคงเป็นยาที่อยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนาสำหรับใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย (Stokes, J. M et al. 2020)
  • การเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอน (Unsupervised Learning): เป็นการค้นหารูปแบบที่ซ่อนอยู่ใน “ข้อมูลที่ไม่มีการติดป้ายกำกับ” (unlabelled data) ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์แบบกลุ่ม (cluster analysis) เพื่อจัดกลุ่มผู้ป่วยตามลักษณะฟีโนไทป์ อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่จะได้ผลลัพธ์ที่ไม่มีเหตุผลหรือมีอคติ เนื่องจากโมเดลไม่ได้รับการฝึกฝนว่าผลลัพธ์ที่ยอมรับได้คืออะไร
  • การเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning): เป็นการให้ “รางวัล” แก่โมเดลสำหรับการตัดสินใจตามลำดับที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น AlphaZero ที่เรียนรู้การเล่นหมากรุกและโกะ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ทางคลินิกที่ต้องตัดสินใจหลายขั้นตอนเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น การปรับยาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายค่า A1C หรือการจัดการการรักษาตลอดการนอนโรงพยาบาลที่ยาวนาน

การเลือกรูปแบบการเรียนรู้ของ AI ไม่ใช่แค่การตัดสินใจด้านเทคนิค แต่ยังต้องประเมินเรื่อง ข้อกำหนดของข้อมูล, ต้นทุนการพัฒนา และประเภทของปัญหาทางคลินิกที่สามารถแก้ไขได้ การเรียนรู้แบบมีผู้สอน (supervise learning) ต้องการชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีป้ายกำกับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาโมเดลที่ปรับแต่งเอง ในขณะที่การเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอนสามารถใช้ข้อมูลที่ไม่มีป้ายกำกับซึ่งหาได้ง่ายกว่า แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้ผลลัพธ์ที่มีอคติหรือไม่มีความหมาย ซึ่งต้องการการตรวจสอบโดยมนุษย์อย่างเข้มข้น ส่วนการเรียนรู้แบบเสริมกำลังนั้นทรงพลังสำหรับการหาค่าที่เหมาะสมที่สุด แต่ต้องการการกำหนด “ฟังก์ชันรางวัล” ที่รอบคอบ ซึ่งมีความซับซ้อนทั้งในทางจริยธรรมและทางคลินิก (เช่น รางวัลคือ ‘การรอดชีวิตจนออกจากโรงพยาบาล’ หรือ ‘คุณภาพชีวิต’?) ดังนั้น แผนกเภสัชกรรมที่ตัดสินใจสร้างหรือซื้อเครื่องมือ AI จะต้องประเมินทรัพยากรด้านข้อมูลและเป้าหมายทางคลินิกของตนก่อน การตัดสินใจนี้จะเป็นตัวกำหนดความเป็นไปได้และการจัดสรรทรัพยากรของโครงการทั้งหมด

ประเภทของเครื่องมือ AI

การจำแนกเครื่องมือ AI ตามข้อมูลนำเข้าช่วยให้เภสัชกรมีกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการทำความเข้าใจการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ

ประเภทข้อมูลนำเข้าคำอธิบายเครื่องมือ AI และตัวอย่างในทางเภสัชกรรม
ภาพ (Vision)โมเดลที่ใช้รูปภาพเป็นข้อมูลนำเข้า รวมถึงเครื่องมือวินิจฉัยทางการแพทย์ เช่น การวิเคราะห์ภาพเอ็กซ์เรย์ทรวงอกหรือซีทีสแกน และโมเดลระบุเม็ดยา (Drug identification) ที่สามารถระบุยาเม็ดที่ไม่ติดฉลากได้
ข้อความ (Text)โมเดลที่ใช้ข้อความเป็นข้อมูลนำเข้า สามารถโต้ตอบกับคำพูดหรือข้อความที่เป็นธรรมชาติได้ เช่น แชทบอท (คล้ายกับ ChatGPT) หรือโมเดลจำแนกเอกสาร
เสียง (Voice)โมเดลที่รับเสียงดิบเป็นข้อมูลนำเข้า เช่น โปรแกรมเขียนตามคำบอก (Dictation), ลำโพงอัจฉริยะ (เช่น Alexa) หรือแอปพลิเคชันทางคลินิกที่ใช้เครื่องหมายเสียง (Voice marker) เพื่อวินิจฉัยหรือวัดระดับความเครียดของผู้ป่วย
ข้อมูลตาราง (Tabular)โมเดลที่ใช้ข้อมูลประเภทใดก็ได้ที่สามารถจัดระเบียบหรือจัดเก็บในสเปรดชีตได้ เช่น อัลกอริทึมทำนายความเสี่ยง
หลายรูปแบบ (Multi-modal)โมเดลที่สามารถรับข้อมูลนำเข้าได้มากกว่าหนึ่งประเภท เช่น แชทบอทที่สามารถตอบสนองต่อข้อความและรูปภาพที่อัปโหลดได้

กรอบการทำงานเพื่อความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส และการประเมินประสิทธิภาพ

ส่วนนี้จะตอบคำถามที่สำคัญว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องมือ AI นั้นดีและน่าเชื่อถือ” โดยนำเสนอเครื่องมือทางแนวคิดและปฏิบัติการที่จำเป็นสำหรับเภสัชกรในการประเมินระบบ AI

ความจำเป็นของการวัดประสิทธิภาพ

การวัดประสิทธิภาพจะไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบทางเทคนิค แต่ยังต้องให้ความสำคัญในการสร้างความโปร่งใส, ความไว้วางใจ และความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นสามเสาหลักของการปรับใช้ AI อย่างมีจริยธรรม

การบรรลุความโปร่งใส: มาตรฐาน Model Card

“Model Card” เป็นแนวคิดที่เปรียบเสมือน “ฉลากโภชนาการ” ที่ได้มาตรฐานสำหรับโมเดล AI ซึ่งจะให้รายละเอียดที่จำเป็นเกี่ยวกับลักษณะ, ประสิทธิภาพ, ข้อจำกัด และกรณีการใช้งานที่ตั้งใจไว้ของโมเดล การผลักดันให้มีเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานเช่น “Model Card” จะส่งผลให้ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ (หรือผู้ซื้อ) สามารถเรียกร้องความโปร่งใสในระดับที่สูงขึ้นจากผู้จำหน่าย AI (ผู้ขาย) ได้ ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนธรรมเนียมในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่มักจะบอกว่า “เชื่อเราเถอะว่ามันใช้งานได้” ไปสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่อิงตามหลักฐาน โดยหากว่า Model Card สามารถดำเนินการได้ครอบคลุม เภสัชกรหรือผู้บริหารโรงพยาบาลที่ใช้กรอบการทำงานนี้จะสามารถตั้งคำถามที่ตรงประเด็นต่อตัว AI ได้ เช่น “ข้อมูลการฝึกอบรมของคุณสะท้อนถึงประชากรผู้ป่วยของเราหรือไม่” หรือ “ความแม่นยำที่ได้เทียบกับความครอบคลุมของโมเดลสำหรับงานนี้คืออะไร และการแลกเปลี่ยนนั้นยอมรับได้สำหรับกระบวนการทางคลินิกของเราหรือไม่” มันจะช่วยเปลี่ยนการตัดสินใจซื้อจากที่อิงตามคำกล่าวอ้างทางการตลาดไปสู่การตัดสินใจที่อิงตามเอกสารหลักฐานและการประเมินความเสี่ยงได้จริง ซึ่งคล้ายๆ กับการจัดซื้อยาเข้าโรงพยาบาล

องค์ประกอบของ Model Cardรายละเอียดและความสำคัญสำหรับเภสัชกร
คำอธิบาย (Description)คำอธิบายสั้นๆ และการระบุโมเดลที่ไม่ซ้ำกัน รวมถึงเวลาที่ผลิตและเวอร์ชันของโมเดล
วัตถุประสงค์, ผู้ใช้ และบริบท (Purpose, users, and context)ระบุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้อย่างชัดเจน, ผู้ใช้ที่อาจได้รับประโยชน์ และบริบทที่ควรหรือไม่ควรนำไปใช้
วิธีการใช้งาน (How to use)แนวทางที่เข้าใจง่ายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับใช้โมเดลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (Performance metrics)ตัวชี้วัดจะแตกต่างกันไปตามประเภทและวัตถุประสงค์ของโมเดล ควรมาพร้อมกับการตีความว่าหมายถึงอะไรในบริบทการใช้งาน
ข้อมูลการฝึก (Training data)ความโปร่งใสของข้อมูลการฝึกเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงแหล่งที่มา, คุณภาพ และกลุ่มที่อาจมีตัวแทนมากหรือน้อยเกินไป
จริยธรรม (Ethics)การจัดการกับอคติ, ความเป็นธรรม และความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ความไม่แน่นอน (Uncertainty)การบันทึกข้อจำกัดและความไม่แน่นอนของโมเดลช่วยจัดการความคาดหวังของผู้ใช้และแจ้งให้ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ผู้เขียน, โค้ด, ใบอนุญาต และความเป็นเจ้าของ (Author, code, license, and ownership)การระบุข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดเจนช่วยเพิ่มความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน
ข้อมูลติดต่อและแหล่งข้อมูล (Contacts and resources)การให้ข้อมูลติดต่อและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้ใช้

คู่มือสำหรับเภสัชกรเกี่ยวกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพ

การทำความเข้าใจตัวชี้วัดประสิทธิภาพทั่วไปเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินโมเดลจำแนกประเภท (classification models)

  • ความแม่นยำ (Precision): หรือที่เรียกว่า Positive Predictive Value ตอบคำถามว่า “ในบรรดากรณีที่โมเดลทำนายว่าเป็นบวก มีกี่กรณีที่เป็นบวกจริงๆ” มีประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้นทุนของผลบวกลวง (False Positives) สูง Precision=TP+FPTP​
  • ความครอบคลุม (Recall) หรือความไว (Sensitivity): หรือที่เรียกว่า True Positive Rate ตอบคำถามว่า “ในบรรดากรณีที่เป็นบวกทั้งหมด โมเดลสามารถระบุได้อย่างถูกต้องกี่กรณี” มีความสำคัญในสถานการณ์ที่การพลาดกรณีที่เป็นบวกมีต้นทุนสูง Sensitivity(Recall)=TP+FNTP​
  • F1 Score: เป็นค่าเฉลี่ยฮาร์มอนิกของความแม่นยำและความครอบคลุม ให้ความสมดุลระหว่างสองตัวชี้วัดนี้ มีประโยชน์เมื่อมีการกระจายของคลาสไม่สม่ำเสมอ F1 Score=2×Precision+RecallPrecision×Recall​
  • ความจำเพาะ (Specificity): หรือที่เรียกว่า True Negative Rate ตอบคำถามว่า “ในบรรดากรณีที่เป็นลบทั้งหมด โมเดลสามารถระบุได้อย่างถูกต้องกี่กรณี” มีความสำคัญในการคัดกรองโรค Specificity=TN+FPTN​
  • ตารางความสับสน (Confusion Matrix): เป็นตารางที่ช่วยให้เห็นภาพประสิทธิภาพของอัลกอริทึม โดยแสดงให้เห็นถึงประเภทของข้อผิดพลาดที่ตัวจำแนกทำขึ้น
ทำนายว่าเป็นบวกทำนายว่าเป็นลบ
ค่าจริงเป็นบวกTrue Positive (TP)False Negative (FN)
ค่าจริงเป็นลบFalse Positive (FP)True Negative (TN)
  • เส้นโค้ง ROC-AUC (ROC-AUC Curve): เป็นการแสดงผลแบบกราฟิกของประสิทธิภาพของตัวจำแนก โดยพื้นที่ใต้โค้ง (AUC) เป็นตัวชี้วัดโดยรวมของประสิทธิภาพของโมเดลในทุกเกณฑ์การตัดสินใจ

เขาวงกตแห่งจริยธรรมและกฎระเบียบ

เนื้อหาในส่วนนี้จะเจาะลึกแง่มุมที่ซับซ้อนและสำคัญที่สุดของการนำ AI ไปใช้ นั่นคือ การสร้างความมั่นใจว่าเครื่องมือที่ทรงพลังเหล่านี้ถูกใช้อย่างถูกกฎหมาย, มีจริยธรรม

เสาหลักของ AI ที่น่าเชื่อถือ

กรอบการทำงานนี้มีโครงสร้างตาม “”ข้อกำหนดสำคัญเจ็ดประการของสหภาพยุโรปสำหรับ AI ที่น่าเชื่อถือ” ซึ่งทำหน้าที่เป็นรายการตรวจสอบทางจริยธรรมของการใช้ AI

ข้อกำหนดสำคัญรายละเอียดและการประยุกต์ใช้ในทางเภสัชกรรม
1. การกำกับดูแลโดยมนุษย์ (Human agency and oversight)ระบบ AI ควรสนับสนุนความเป็นอิสระและการตัดสินใจของมนุษย์ โดยมนุษย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดต่อผลลัพธ์ของ AI เช่น เภสัชกรเป็นผู้ตรวจสอบขั้นสุดท้ายของใบสั่งยาที่ AI แนะนำ
2. ความทนทานและความปลอดภัยทางเทคนิค (Technical robustness and safety)ระบบ AI ต้องมีความปลอดภัย, เชื่อถือได้ และยืดหยุ่นตลอดวงจรชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่ได้ตั้งใจ
3. ความเป็นส่วนตัวและการกำกับดูแลข้อมูล (Privacy and data governance)ระบบ AI ควรเคารพความเป็นส่วนตัว, รับประกันการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล และปฏิบัติตามกฎระเบียบการคุ้มครองข้อมูล
4. ความโปร่งใส (Transparency)กระบวนการและการตัดสินใจของระบบ AI ควรสามารถอธิบายได้, เข้าใจได้ และเข้าถึงได้โดยผู้ใช้
5. ความหลากหลาย, การไม่เลือกปฏิบัติ และความเป็นธรรม (Diversity, non-discrimination, and fairness)ระบบ AI ควรมีความครอบคลุมและเป็นธรรม, หลีกเลี่ยงอคติและการเลือกปฏิบัติ
6. สวัสดิภาพทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Societal and environmental well-being)การพัฒนาและการปรับใช้ AI ควรเป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
7. ความรับผิดชอบ (Accountability)ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับระบบ AI (นักพัฒนา, ผู้ปรับใช้ ฯลฯ) ควรรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการกระทำของตน

ประเด็นขัดแย้งทางจริยธรรมหลักในการดูแลสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI

การใช้ AI ท้าทายหลักการพื้นฐานของจริยธรรมทางการแพทย์ (ความเป็นอิสระ, การทำประโยชน์, การไม่ทำอันตราย, ความยุติธรรม) ในหลายมิติ ประเด็นสำคัญทางจริยธรรมที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด ได้แก่:

  • ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย: ความเสี่ยงจากการจัดการชุดข้อมูลผู้ป่วยที่ละเอียดอ่อนจำนวนมหาศาล
  • ความโปร่งใส: ปัญหา “กล่องดำ” และความยากลำบากในการทำความเข้าใจกระบวนการตัดสินใจของ AI
  • ความรับผิดชอบ: ใครคือผู้รับผิดชอบเมื่อ AI ทำผิดพลาด—นักพัฒนา, โรงพยาบาล หรือแพทย์?
  • อคติและความเป็นธรรม: ข้อมูลการฝึกที่มีอคติสามารถนำไปสู่ระบบ AI ที่ส่งเสริมและขยายความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพ
  • ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว (Informed Consent): วิธีการแจ้งให้ผู้ป่วยทราบอย่างถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการดูแลของพวกเขา

มุมมองระดับโลกเกี่ยวกับกฎระเบียบ AI

ภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบของ AI ทั่วโลกมีความแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อความซับซ้อนในการปฏิบัติตามกฎระเบียบสำหรับองค์กรระหว่างประเทศ

  • ยุโรป: ยึดโยงแนวทางตามการจัดการความเสี่ยงของ “AI Act” ของสหภาพยุโรป และข้อกำหนดที่เข้มงวดของกฎระเบียบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ (MDR)
  • อเมริกา: แนวทางเฉพาะภาคส่วนในสหรัฐอเมริกา (กรอบการทำงาน SaMD ของ FDA, HIPAA สำหรับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล) และ AIDA ของแคนาดา
  • เอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา: กรอบการทำงานที่กำลังเกิดขึ้นในจีน, ญี่ปุ่น และแอฟริกาใต้ (POPIA) โดยมีแนวโน้มที่จะปรับใช้มาตรฐานระดับโลกให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น

ด้วยมาตรฐานที่ดูแตกต่างกันนี้ ทำให้ดูเหมือนมีความตึงเครียดเป็นพื้นฐานของการใช้ AI ที่เป็นสากล (โมเดลที่ฝึกฝนจากข้อมูลนานาชาติ, นำไปใช้โดยบริษัทข้ามชาติ) และธรรมชาติของกฎระเบียบด้านการดูแลสุขภาพที่กระจัดกระจายและเฉพาะเจาะจงตามเขตอำนาจศาล ซึ่งกลายเป็นว่า สิ่งเหล่านี้ได้สร้างภาระด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและการตรวจสอบเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การสร้างนวัตกรรมและการนำไปใช้ช้าลง ตัวอย่างเช่น โมเดล AI สำหรับการวินิจฉัยโรคจากภาพทางการแพทย์ที่พัฒนาโดยบริษัทในสหรัฐฯ โดยใช้ข้อมูลจากสหรัฐฯ, ยุโรป และเอเชีย จะต้องผ่านกระบวนการ SaMD ของ FDA ในสหรัฐฯ, กระบวนการ MDR ในยุโรป และข้อกำหนด NMPA ในจีน ซึ่งแต่ละแห่งมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันสำหรับการตรวจสอบทางคลินิกและการเฝ้าระวังหลังการขาย นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือต้องเป็นไปตาม HIPAA ในสหรัฐฯ, GDPR ในยุโรป และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลอื่นๆ ในที่ต่างๆ เขาวงกตด้านกฎระเบียบนี้หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ AI แบบ “หนึ่งขนาดเหมาะกับทุกคน” แทบจะเป็นไปไม่ได้ โมเดลอาจต้องได้รับการฝึกฝนใหม่หรือปรับแต่งอย่างละเอียดกับข้อมูลท้องถิ่นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบระดับภูมิภาค และโปรโตคอลการจัดการข้อมูลต้องได้รับการปรับให้เข้ากับแต่ละตลาด ซึ่งเพิ่มต้นทุนและความซับซ้อนในการนำนวัตกรรม AI มาสู่การดูแลสุขภาพทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ

การบรรเทาผลกระทบและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด

เพื่อรับมือกับความท้าทายทางจริยธรรม จำเป็นต้องมีกรอบการทำงานที่นำไปปฏิบัติได้ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งแนวทางภายในที่ชัดเจน, การบูรณาการจริยธรรมเข้ากับการฝึกอบรม, การตรวจสอบอย่างเข้มงวด และการเสริมสร้างศักยภาพให้เภสัชกรสามารถระบุและรายงานอคติได้

การเอาชนะอุปสรรคในการนำไปใช้งานจริง

เนื้อหาในส่วนนี้จะเปลี่ยนจากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ โดยกล่าวถึงความท้าทายทางเทคนิค, การบริหาร และที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการปรับใช้ AI

อุปสรรคทางเทคนิคและกลยุทธ์ในการจัดการ

  • อคติของอัลกอริทึม (Algorithmic Bias): การเจาะลึกว่าอคติเข้าสู่ระบบ AI ได้อย่างไรและผลกระทบที่รุนแรงต่อผลลัพธ์ของผู้ป่วย กลยุทธ์ในการบรรเทาผลกระทบจะถูกอธิบายโดยละเอียด รวมถึงการรวบรวมข้อมูลที่หลากหลายและอัลกอริทึมที่คำนึงถึงความเป็นธรรม
  • การเบี่ยงเบนของโมเดล (Model Drift): อธิบายว่าเป็นการเสื่อมประสิทธิภาพของโมเดลเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากรูปแบบข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไป ความจำเป็นในการติดตามอย่างต่อเนื่องและการฝึกอบรมใหม่เป็นประจำจะถูกเน้นย้ำว่าเป็นต้นทุนการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง
  • การเรียนรู้เกินพอดี (Overfitting): อธิบายว่าเป็นสถานการณ์ที่โมเดลจดจำข้อมูลการฝึกแทนที่จะเรียนรู้รูปแบบที่สามารถนำไปใช้ได้ทั่วไป เทคนิคต่างๆ เช่น การตรวจสอบไขว้ (cross-validation) และการทำให้เป็นมาตรฐาน (regularization)

ความท้าทายด้านการบริหารและที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์

อุปสรรคที่ไม่ใช่ด้านเทคนิคซึ่งมักถูกประเมินต่ำเกินไป มีดังนี้ :

  • การบูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงาน: ความยากในการนำเครื่องมือ AI ใหม่มาปรับใช้กับกระบวนการทางคลินิกที่ซับซ้อนและมีอยู่เดิม
  • การทำงานร่วมกัน (Interoperability): ความท้าทายในการทำให้ระบบ AI สามารถสื่อสารกับบันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHRs) และระบบการจัดการร้านขายยาที่มีอยู่ โดยอ้างอิงถึงมาตรฐานต่างๆ เช่น HL7 และ FHIR
  • การฝึกอบรมและการให้การสนับสนุนผู้ใช้: ความจำเป็นของการฝึกอบรม เพื่อให้แน่ใจว่าเภสัชกรมีความเชื่อมั่น และใช้เครื่องมือใหม่ได้อย่างถูกต้อง
  • ต้นทุนเริ่มต้นสูงและการจัดการการเปลี่ยนแปลง: การยอมรับถึงการลงทุนทางการเงินที่สำคัญและการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่อาจขัดขวางการนำไปใช้

การนำ AI ไปใช้ในงานด้านเภสัชกรรมให้ประสบความสำเร็จนั้น น่าจะไม่ใช่แค่ต้องมีโครงการด้านเทคโนโลยี แต่ยังต้องมีโปรแกรมการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ที่ครอบคลุม ความท้าทายทางเทคนิค (อคติ, การเบี่ยงเบน) แม้จะมีความสำคัญ แต่ก็มักจะเป็นรองจากความท้าทายด้านมนุษย์และองค์กรในเรื่องการบูรณาการ หรือนำมาปรับใช้กับกระบวนการทำงาน, การฝึกอบรม และการสร้างความไว้วางใจ เครื่องมือ AI ที่สมบูรณ์แบบ หรืออัลกอริทึมที่สามารถทำนายปฏิกิริยาระหว่างยาได้นั้นจะไร้ประโยชน์หากไม่ได้รับการบูรณาการเข้ากับกระบวนการสั่งจ่ายและตรวจสอบของเภสัชกร หากต้องเข้าสู่ระบบแยกต่างหากหรือแสดงการแจ้งเตือนในลักษณะที่ทำให้ผู้ใช้สับสน เครื่องมือเหล่านี้ก็จะถูกละเลยหรือข้ามไป ดังนั้น ความสำเร็จของโครงการริเริ่มด้าน AI จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยมนุษย์, การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และโปรแกรมการฝึกอบรม ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องสอนว่า ต้องคลิกปุ่มใด แต่ยังต้องสร้างความเข้าใจในจุดแข็งและข้อจำกัดของเครื่องมือด้วย ผู้นำด้านเภสัชกรรมควรจัดสรรทรัพยากรให้กับการวิเคราะห์กระบวนการทำงาน, การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการฝึกอบรมให้มากเท่ากับการประเมินทางเทคนิคของโมเดล AI เอง ความล้มเหลวในการทำเช่นนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้โครงการ AI ที่มีราคาแพงไม่สามารถส่งมอบคุณค่าตามที่สัญญาไว้ได้

รายการตรวจสอบเชิงกลยุทธ์สำหรับการนำ AI ไปใช้

คู่มือปฏิบัติการสำหรับผู้นำด้านเภสัชกรรมนี้อ้างอิงจากรายการตรวจสอบในส่วนที่ 7 ของชุดเครื่องมือ FIP

ขั้นตอนคำถามสำคัญที่ต้องพิจารณา
ขั้นตอนที่ 1: การกำหนดกรณีการใช้งาน (Defining the Use Case)เรากำลังแก้ปัญหาอะไร? ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยโซลูชันที่ไม่ใช่ AI หรือไม่? ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เหมาะสมทุกคนมีส่วนร่วมหรือไม่?
ขั้นตอนที่ 2: การเลือกและประเมินโมเดล (Model Selection & Evaluation)จะสร้างเองหรือซื้อ? ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร? จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหรือไม่?
ขั้นตอนที่ 3: การปฏิบัติตามกฎระเบียบและการกำกับดูแลข้อมูล (Compliance & Data Governance)เราจะปกป้องข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างไร? จำเป็นต้องแชร์ข้อมูลนอกองค์กรหรือไม่? ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบใดบ้าง?
ขั้นตอนที่ 4: การเลือกผู้จำหน่าย (Vendor Selection)ผู้จำหน่ายมี Model Card หรือไม่? พวกเขาจัดการกับการอัปเดตอย่างไร? พวกเขาตรวจสอบประสิทธิภาพของโมเดลบ่อยแค่ไหน?
ขั้นตอนที่ 5: ความปลอดภัยและการจัดการความเสี่ยง (Safety & Risk Management)โหมดความล้มเหลวที่เป็นไปได้คืออะไร? เราจะตรวจสอบประสิทธิภาพอย่างไร? โมเดลมีความแม่นยำน้อยลงสำหรับประชากรกลุ่มย่อยบางกลุ่มหรือไม่?

บทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของเภสัชกรในยุค AI

ส่วนสุดท้ายนี้ ผู้เขียนจะขอสังเคราะห์เนื้อหาที่กล่าวถึงมาก่อนหน้านี้เพื่อช่วยวาดภาพอนาคตของวิชาชีพเภสัชกรรมที่น่าจะชัดเจนขึ้น

สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับเภสัชกรที่เสริมศักยภาพด้วย AI

ทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ขับเคลื่อนด้วย AI มีดังนี้ :

  • ความรู้ความเข้าใจด้านข้อมูล (Data Literacy): ความสามารถในการตีความและประเมินผลลัพธ์ข้อมูลจากเครื่องมือ AI
  • การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking): ความสามารถในการประเมินคำแนะนำที่สร้างโดย AI อย่างมีวิจารณญาณ โดยพิจารณาบริบทและความต้องการเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย
  • การตัดสินใจทางจริยธรรมและกฎหมาย (Ethical and Legal Judgment): ความเข้าใจในผลกระทบทางจริยธรรมและขอบเขตทางกฎหมายของการใช้ AI
  • ทักษะการสื่อสารขั้นสูง (Advanced Communication Skills): ความสามารถในการแปลข้อมูล AI ที่ซับซ้อนให้เป็นคำแนะนำที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ป่วยและทีมดูแลสุขภาพ
  • การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning): ความมุ่งมั่นในการศึกษาอย่างต่อเนื่องและการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ

เส้นทางสู่การพัฒนาวิชาชีพ

แหล่งข้อมูลสำหรับการยกระดับทักษะมีหลากหลาย :

  • หลักสูตรออนไลน์: แพลตฟอร์มเช่น Coursera และ edX
  • การฝึกอบรมเฉพาะทาง: จากองค์กรวิชาชีพเช่น FIP และ ASHP
  • วารสารวิชาการ: เพื่อติดตามความก้าวหน้าล่าสุด
  • ความร่วมมือแบบสหสาขาวิชาชีพ: การทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ

มุมมองสู่อนาคต: จากผู้จ่ายยา สู่ผู้เชี่ยวชาญที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

AI จะเข้ามาช่วยทำงานประจำที่ซ้ำซากโดยอัตโนมัติ (เช่น การควบคุมสินค้าคงคลัง, การตรวจสอบใบสั่งยาเบื้องต้น) ทำให้เภสัชกรมีเวลามากขึ้นสำหรับกิจกรรมทางคลินิกที่มีมูลค่าสูงขึ้น สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับเภสัชกรในอนาคต จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในอัตลักษณ์ทางวิชาชีพ จากผู้เชี่ยวชาญที่อิงตามความรู้ (ผู้ที่รู้ข้อเท็จจริง) ไปสู่ผู้เชี่ยวชาญที่อิงตามปัญญา (ผู้ที่รู้วิธีการประเมินและประยุกต์ใช้ข้อมูลที่สร้างโดย AI อย่างมีวิจารณญาณ) ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาทางเภสัชศาสตร์

ในอดีต คุณค่าของเภสัชกรขึ้นอยู่กับความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับยา, ปฏิกิริยาระหว่างยา และแนวทางปฏิบัติ แต่ปัจจุบัน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ สามารถเข้าถึงและสังเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริงนี้ได้เกือบทันที สมรรถนะใหม่ที่ระบุไว้ในชุดเครื่องมือของ FIP—”ความรู้ความเข้าใจด้านข้อมูล”, “การคิดเชิงวิพากษ์”, “ข้อพิจารณาทางจริยธรรมและกฎหมาย”—ไม่ได้เกี่ยวกับการท่องจำข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แต่เกี่ยวกับการคิดเชิงอภิมาน (meta-cognition): การทำความเข้าใจว่า AI ได้ข้อสรุปมาอย่างไร, การตระหนักถึงศักยภาพของอคติและข้อผิดพลาด และการใช้วิจารณญาณทางวิชาชีพกับผลลัพธ์ของมันในบริบทของผู้ป่วยที่ซับซ้อน ซึ่งหมายความว่าหลักสูตรของคณะเภสัชศาสตร์ต้องมีการพัฒนา การท่องจำเภสัชวิทยาต้องได้รับการเสริมหรืออาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยหลักสูตรสถิติ, หลักการวิทยาศาสตร์ข้อมูล, จริยธรรมทางคลินิกในยุคดิจิทัล และสารสนเทศศาสตร์ เภสัชกรในอนาคตไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านยา แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลและเทคโนโลยีทางคลินิก

บทสรุปคือ บทบาทในอนาคตของเภสัชกรคือผู้เชี่ยวชาญทางคลินิกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ผู้ซึ่งใช้ประโยชน์จาก AI เป็นเครื่องมือวินิจฉัยและทำนายที่ทรงพลัง และยังคงเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่รับผิดชอบต่อการดูแลผู้ป่วยที่ปลอดภัย, มีประสิทธิภาพ และเป็นส่วนตัว

Reference

International Pharmaceutical Federation (FIP). (2025, March). An artificial intelligence toolkit for pharmacy: An introduction and resource guide for pharmacists. https://www.fip.org/file/6202

Stokes, J. M., Yang, K., Swanson, K., Jin, W., Cubillos-Ruiz, A., Donghia, N. M., MacNair, C. R., French, S., Carfrae, L. A., Bloom-Ackermann, Z., Tran, V. M., Chiappino-Pepe, A., Badran, A. H., Andrews, I. W., Chory, E. J., Church, G. M., Brown, E. D., Jaakkola, T. S., Barzilay, R., & Collins, J. J. (2020). A deep learning approach to antibiotic discovery. Cell, 180(4), 688–702.e13. https://doi.org/10.1016/j.cell.2020.01.021

Ready to Connect Innovation and Healthcare?

พร้อมที่จะเชื่อมโยงนวัตกรรมของคุณกับการเข้าถึงสุขภาพที่ดีหรือยังครับ?
ติดต่อเราวันนี้เพื่อปรึกษาว่าเราจะช่วยให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพของคุณเติบโตได้อย่างไร

0 Comments

Ready to Connect Innovation and Healthcare?

พร้อมที่จะเชื่อมโยงนวัตกรรมของคุณกับการสร้างระบบสุขภาพที่ดีหรือยังครับ?

ติดต่อเราวันนี้เพื่อปรึกษาว่าเราจะช่วยให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพของคุณเติบโตได้อย่างไร

คุยกับทีมงาน